บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มกราคม 20, 2019

พละห้าที่คนมักเข้าใจผิด

รูปภาพ
พละห้าได้แก่ ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา ทั้งห้าประการนี้หลายท่านปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ผลเลย แต่หลงคิดว่าได้แล้วมีแล้ว สุดท้าย ปฏิบัติธรรมนานเท่าใดก็ไร้มรรคผล เพราะเอาความเข้าใจแบบทางโลกมาใช้กัน ถามว่าเข้าใจผิดอย่างไร?   ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องความเข้าใจผิดในพละห้า ดังต่อไปนี้ ๑ ศรัทธากับความงมงาย หลายคนคิดว่าตนเองมีความศรัทธาแล้วทว่าแท้จริงพวกเขาแค่ “งมงาย” ครับ พวกเขาแยกไม่ออกระหว่างความศรัทธาและความงมงาย คนเรานั้นหากเชื่ออะไรที่น่าศรัทธามันก็คือความงมงาย แต่ถ้ากล้าเชื่ออะไรที่ไม่น่าศรัทธา ไม่น่าเชื่อได้เลย แบบนั้นจะเรียกว่า “ศรัทธาจริงๆ” เหมือนคุณไว้ใจใครสักคนจริงๆ ทั้งที่เขาไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเลย แต่คุณก็เชื่อใจเขา แบบนี้เชื่อใจกันจริงๆ ใช่ไหม? ตรงข้าม ถ้าคุณเชื่อใครสักคน เพียงเพราะเขาดูน่าเชื่อถือ แบบนั้นไม่ใช่ความศรัทธาแน่นอน มันเป็นแค่ความสับเพร่า ขี้เกียจใช้ความศรัทธา ก็เลยเชื่อไปแบบลวกๆ โดยดูเอาเปลือกนอก ดูว่าเออมันน่าเชื่อถือดี มันน่าศรัทธาดี อันนี้เรียกว่า “งมงาย” ๒ วิริยะกับการเพียรจม หลายคนคิดว่าการเพียรจมคือ “วิริยะในทางธรรม” ไม่ใช่นะครับ วิริ

มงคลชีวิตของฆราวาสผู้ทรงธรรม

รูปภาพ
ปัจจุบันมีฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรมในครัวเรือนเพิ่มมากกว่าเดิม หลายท่านไม่ต้องบวชพระแต่ปฏิบัติธรรมเอง ทว่า มีบางท่านที่ได้รับ “สิ่งมงคลสู่ชีวิต” บางท่านก็ไม่ได้รับหรือไม่ยอมรับก็มี ถามว่าสิ่งมงคลสู่ชีวิตนั้นคืออะไร? สิ่งมงคลนี้ก็คือสิ่งที่จะทำให้การปฏิบัติธรรมของคุณก้าวหน้าได้ ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้ ๑ มีครูบาอาจารย์ดูแลชัดเจน เมื่อเราหลงทาง หลงตัวเอง หรือท้อแท้ ครูบาอาจารย์ท่านจะเตือนเราได้ครับ แต่หากเราไม่ยอมใครเลยในโลกนี้ ก็คงไม่มีใครตักเตือนเราได้อีก เมื่อเราหลงตัวเองก็จะเตลิดเปิดเปิงไปแบบไม่มีใครห้ามได้ ก็จะมีผู้ที่ทำหน้าที่เตือนสติเราได้ แม้ว่าครูบาอาจารย์นั้นมิใช่พระผู้ช่วยให้รอด อันนี้ต้องแยกให้ออกนะครับ ครูกับพระพุทธเจ้านั้นมิใช่คนเดียวกัน เช่น พระอัครสาวกบางองค์ เดิมมีครูอยู่ในลัทธิพราหมณ์มาก่อน แล้วได้เจอกับพระสมณโคดม ก็มาปฏิบัติตามท่านอีกที ครูนั้นเหมือนเรือจ้างเพราะสอนผู้อื่น ส่งผู้อื่นไปข้างหน้าแล้ว ตนเองก็อยู่ที่เดิม ไม่ได้ก้าวหน้าไปด้วย ครูหลายคนมีความรู้สอนคนอื่นได้ แต่ตัวเองปฏิบัติไม่ได้ ก็มี ๒ มีกัลยาณมิตร - หมู่คณะ ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของพระปัจเจก เราเ

ทำไมคนสมัยนี้โปรดยาก?

รูปภาพ
หลายครั้งเราพบว่ามีคนมากมายทำตัวเหมือน “ผู้มีธรรม” เกลื่อนเต็มไปหมดในโลกอินเตอร์เน็ต ทว่า เขาเหล่านี้มิได้สำเร็จมรรคผลอะไรจริงเลย วันๆ อาศัยวาทกรรม ด่าทอกัน เอาชนะคะคานกัน แล้วอ้างว่าสอนธรรมะคนอื่นเพื่อระบายความเครียดบ้าง ลดปมด้อยบ้างทำให้โปรดยาก ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้  ๑ เพราะไม่รู้ตัวเองว่าเป็นอะไร? หากคนเรารู้ได้ว่าจิตวิญญาณในกายของตนนั้นเป็นอะไร? มีตาทิพย์มองเห็นได้เอง เขาอาจจะไม่หลงตัวเอง เช่น เห็นว่าตัวเองยังไม่พ้นจากความเป็นสัตว์ชั้นต่ำเลย เพียงแต่ใช้สมองในการอ่านและฟังธรรมะมามากก็เท่านั้น เมื่อไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นเช่นนี้ ก็จะหลงคิดว่าตนนั้นรู้ธรรมะแล้ว เป็นผู้มีธรรมแล้ว หรืออาจเผลอคิดไปเองว่าตนได้อริยบุคคลแล้ว เช่นนี้ พระสมณโคดมเลยสอนเรื่อง “สติปัฏฐานสี่” โดยเฉพาะกายานุสติปัฏฐานให้พิจารณา “กายในกาย” อยู่เนืองๆ เพื่ออะไร? เพื่อให้เราดูตัวเองว่าเราเองเป็นอะไรอยู่? สำเร็จธรรมแล้วจริงหรือยัง? เพราะคนที่สำเร็จธรรมจะมีรัศมีธรรมออกมาที่ศีรษะได้ (แต่ก็มีคนที่ไม่สำเร็จแต่มีเช่นกัน ) ๒ เพราะคิดว่าตัวเองรู้มากแล้ว สมัยนี้การศึกษาเจริญดี ผู้คนทั้งหลายสามารถหาอ่า

สอบเอ็นทรานซ์ขึ้นสวรรค์คืออะไร?

รูปภาพ
ผู้ที่จะหลุดพ้นและมีสวรรค์รับรองให้นั้นจะต้อง “ผ่านการทดสอบ” ก่อน แต่ละที่จะมีแบบทดสอบต่างกันนะ การอ่านธรรมะเอง แล้วคิดไปเองว่าเรารู้แล้ว เข้าใจแล้วนั้น “ใช้ไม่ได้” คุณจะต้องผ่านการทดสอบก่อนครับ นั่นจึ ง จะรับรองสภาวธรรมของคุณได้ว่า “มีที่ไปที่แน่นอนชัดเจนไม่หลง” ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้ ๑ การสอบเข้าสวรรค์คืออะไร? ก็เหมือนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบนโลกน่ะละครับต่างกันตรงที่ “ไม่ได้วัดกันที่ความรู้” แต่วัดกันที่ “จิตใจ” ครับ ดังนั้น ผู้เขียนจะบอกเสมอว่าอย่าหลงคิดว่ารู้มากรู้เยอะแล้วจะหลุดพ้นได้ คิดแบบนั้นยังหลงอยู่ทางโลก ติดชินอยู่กับการสอบทางโลกอยู่ เพราะการสอบเข้าสวรรค์นี้ เขาไม่ได้วัดที่ความรู้แต่วัดกันที่จิตใจครับ ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวไว้เสมอว่า “นิพพานไม่ใช่ความว่างเปล่า ตายแล้วไม่สูญ” อย่าหลงคิดไปเองว่านิพพานคือหายสูญ ตายแล้วหายไปเฉยๆ คุณทำกรรมเท่าไรบ้างละแต่ละวัน? แล้วอยู่ๆ จะหายต๋อมไป ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรได้เลยหรือ? ไม่ใช่ครับ ทุกคนต้องมีที่ไป มีที่รับรองสภาวธรรมของคุณเรียกว่าสวรรค์ ๒ สอนให้ ยึด ติดสวรรค์หรือเ ปล่า? ในบทความก่อนๆ ผู้เขียนได้กล่าวแล้วว่า “ให้อ

ทำไมต้องสร้างบารมีร่วมกับคนด้วยกัน?

รูปภาพ
หลายคนคิดว่าการพึ่ ง ตัวเองคือการไม่ต้องสร้างบารมีร่วมกับใครทั้งนั้น เราสามารถปฏิบัติ “ไปเองได้” ไม่ใช่นะครับ ดังที่กล่าวแล้วว่า “ใบไม้กำมือเดียวไม่พอให้คุณรอดจากป่า” คุณต้องมี “ผู้ช่วยให้รอด” ด้วยนะครับ ดังนั้น คุณจะต้องสร้างบารมีร่วมกับผู้ที่จะฉุดช่วยคุณให้รอดให้หลุดพ้นได้ ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้ ๑ เทพหรือคุรุทางจิตวิญญาณช่วยได้ไหม? “ครูเทพทำหน้าที่เป็นครูเท่านั้น มิใช่ผู้ช่วยให้รอด” ท่านไม่มีหน้าที่มาฉุดช่วยเรา แค่ดลจิตดลใจ สอนเราแค่นั้นครับ หากทำเช่นนั้นได้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ร่วมโลกกับเราแล้ว เป็นครูเทพสอนเราไม่ดีกว่าหรือ? ไม่ได้นะครับ หลายคนคิดว่ามีคุรุทางจิตวิญญาณก็พอแล้ว ไม่ต้องฟังมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น ไม่ถูกครับ คุณจะต้องสร้างบุญสัมพันธ์กับ “ผู้ช่วยให้รอด” ที่มีอยู่ทุกชาติ ทุกศาสนาครับ ท่านเหล่านี้ จะลงมาเกิดเรื่อยๆ เช่น พุทธศาสนาก็มีพระพุทธเจ้า, พราหมณ์ก็มีพระกฤษณะ, คริสต์ก็มีพระเยซู ฯลฯ คุณต้องค้นหาท่านเหล่านี้ให้พบแล้วสร้างบุญสัมพันธ์กับท่าน อาศัยบุญบารมีนั้นดั่งเชือกผูกมัด ดึ ง ให้หลุดพ้น ๒ ครูไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอด? บางคน

พระอรหันต์ตายแล้วไหน?

รูปภาพ
“นิพพานไม่ใช่ความว่างเปล่า ตายแล้วไม่สูญ” ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายไว้มากแล้ว ในบทความนี้จะเล่าต่อว่าพระอรหันต์หากตายแล้วไม่สูญเช่นนั้น “ตายแล้วไปไหน?” ผู้เขียนได้รวบรวมจากประสบการณ์จริงในชีวิตที่ได้ปฏิบัติพบผ่านมาด้วยตนเองเกี่ยวกับพระอรหันต์จำนวนมากมาย ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้ ๑ พระอรหันต์จะอยู่ไหนก็ได้? ผู้เขียนได้รับรู้เรื่องราวผ่านเพื่อนที่ปฏิบัติด้วยกัน เพื่อนที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ หลายท่าน สะสมประสบการณ์ก็ได้นำมาเล่า เรียบเรียงให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป คือ หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้มาหาผู้เขียนด้วยกายทิพย์ ครั้งแรกที่พบพระอรหันต์ที่ตายแล้ว แต่ผู้เขียนสนใจมหายาน สนใจโพธิยาน ท่านเลยจากไป ต่อมาก็ได้พบพระอรหันต์สมัยพุทธกาลบางองค์ เช่น พระสีวลี, พระอนุรุทธ ฯลฯ ท่านเหล่านี้อยู่ในป่าลี้ลับ และคอยดูแลพุทธศาสนาอยู่ ครั้งเมื่อวัดธรรมกายมีเรื่อง พระอนุรุทธก็ได้มาที่วัดนั้น ผู้เขียนก็ถอดกายทิพย์ไปคุยกับท่าน เทพบนสวรรค์ท่านบอกว่า “พระอรหันต์จะอยู่ไหนก็ได้” นั่นคือ ท่านไม่ได้ผิดหรือหลงที่อยู่ในป่ากันครับ ๒ พระอรหันต์อยู่ไหนบ้าง? มีกลุ่มใหญ่อยู่ในป่าบนภาคพื้นโลกเพื่อดูแลพุ

รู้แต่ไม่รอดเป็นอย่างไร?

รูปภาพ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ “เอาแต่รู้ธรรมะ” เพราะการรู้ธรรมะนั้นไม่ยากเลย แค่อ่าน แค่ฟังมากๆ ก็รู้ได้แล้ว   ทว่า “การจะหลุดพ้นได้ไม่ใช่แค่รู้” ส่งผลให้หลายคนรู้แล้วกลับไม่รอด ยิ่งรู้ยิ่งไม่รอด ยิ่งรู้ยิ่งผูกมัดตัวให้เป็นผีเฝ้าตำราบ้าง เฝ้าศาสนาบ้าง ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมรู้แล้วไม่รอด? ดังต่อไปนี้ ๑ ไม่มีบุญบารมีจะรอด? ความรู้กับบุญบารมีเป็นคนละสิ่งกัน สมมุตินาย ก. อ่านทุกอย่างในโลก รู้ธรรมะหมดเลย แต่เขาไม่มีบุญละ ใช้บุญหมดละ ชาติหน้าต้องไปเกิดเป็นเวตาลละ ถามว่าความรู้ช่วย นาย ก. ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะความรู้นี้ไม่ใช่บุญบารมีอะไรเลย ความรู้ก็คือความรู้ นาย ก. ตายไปก็ต้องไปเสวยผลบุญตามที่ตนมีตนได้ สมมุติอีก นาย ข. โง่และไม่รู้อะไรเลย ไปเจอ นาย ค. ผู้มีบุญบารมีมาก เพราะความโง่ นาย ข. เชื่อนาย ค. เพราะคำที่สอนแค่คำเดียว ไม่ได้อวดโชว์ความรู้อะไรมากเลย   ผลเป็นไงครับ? นาย ข. ตายแล้วไปอยู่ในวิมานเดียวกับ นาย ค. ตนไม่มีวิมานแต่เพราะศรัทธา นาย ค. เลยได้ไปเกิดในวิมานของเขา ไม่ต้องเป็นเวตาลแบบนาย ก. ๒ ไม่ได้ชำระกรรมให้หมด คนมีความรู้ท่วมหัว ล้นฟ้ามากมาย แต่หากชำร