บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน 25, 2018

การบำเพ็ญบารมีด้วยการเล่นเกม

รูปภาพ
ปัจจุบัน ทั่วโลกและประเทศไทยมีเด็กติดเกมมากมาย จนหลายท่านเป็นห่วงกันว่าเยาวชนของชาติจะเป็นอย่างไรในอนาคต? ในบทความฉบับนี้ ขออธิบายแนวคิดว่าเราจะใช้เกมเป็นสมมุติธรรมเพื่อการสร้างบารมีได้อย่างไร? เพื่อที่จะได้โปรดเยาวชนของชาติให้มาสู่วิถีทางแห่งการบำเพ็ญเพื่อส่วนรวมให้ได้ ดังต่อไปนี้ ๑ เ ปลือกและแก่นของเกม ทุกสมมุติธรรมย่อมมีวิมุติธรรมดุจดั่งเช่นไม้ มีเปลือกก็ต้องมีแก่น เกมก็เช่นกัน เปลือกของเกมคือสมมุติ ให้เราเล่นเกมไปตามสมมุติ ตามกติกานั้นๆ โลกก็สมมุติ พระราชาในโลกก็สมมุติ พระราชาในเกมก็สมมุติ มันก็สมมุติหมดนั่นแหละ ทีนี้ เราไปเล่นเกมสมมุติว่าเราเป็นพระราชาบ้าง อะไรบ้าง ก็หยิบยืมใช้สมมุตินี้ เพื่อการบำเพ็ญบารมีได้เช่นกัน แก่นของมันอยู่ที่การปฏิบัติธรรม อยู่ที่การบำเพ็ญบารมี เปลือกของมันก็อยู่ตรงภาพและทุกสิ่งทุกอย่างในเกม ของในเกมล้วนสมมุติหมด แต่มันก็มีของจริงคือ มีคนเล่นจริงๆ มีเราเล่นจริง มีเพื่อนเราเล่นจริง เราและเพื่อนย่อมสร้างบุญบารมีร่วมกันได้ จริงไหมครับ โดยไม่ต้องแย่งทางโลกเขาเลย ๒ การสร้างบารมีต่อยอดอดีตชาติ สมมุติอดีตชาติ คุณเคยสร้างบารมีด้วยการหนุนให้เพื่

การบำเพ็ญในสามยุคสำคัญ

รูปภาพ
จักรวาลสร้างสรรค์สัตว์ทั้งหลายแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย ในบทความนี้จะขอกล่าว ถึง การสร้างสัตว์ในสามยุคสำคัญ ได้แก่ ยุคสร้างโพธิสัตว์, ยุคสร้างเทพ และยุคสร้างมนุษย์ในมิติที่ห้า ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งนี้ จะแตกต่างจากธรรมะในพุทธศาสนาบ้างขอให้เปิดใจกว้างๆ แล้วจะเข้าใจ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ สามยุคสำคัญคืออะไร? “สามยุคสำคัญ” คือ ในยุคนี้จะมีการสร้างสัตว์สามยุค สามเจนเนอเรชั่น ให้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์, เทพและมนุษย์ในมิติที่ห้าครับ สามยุคนี้ไม่ใช่กลียุคแน่นอน และเป็นยุคที่สำคัญมากๆ อย่าง หนึ่ง เพราะไม่ได้เกิด ขึ้น ง่ายๆ เพราะอะไร? เพราะก่อนจะเกิดยุคนี้ได้นั้น จะต้องมีการสร้างบุญบารมีมากมายหลายชาติภพรวมกันมา แล้วจากนั้น จักรวาลก็คัดเลือกสรรพสัตว์ “ที่มีบารมีธรรมสูงสุด” จำนวนมากมายให้มาเกิดในยุคนี้ เราทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีบุญ ผู้เขียนได้เคยกล่าวคำนี้ย้ำบ่อยๆ ไม่มีใครไม่มีบุญ เพราะหากไม่มีบุญ จะไม่มีทางได้เกิดมาในยุคนี้แน่นอน แต่ละคนเคยตายในสงคราม พลีชีพมาทั้งนั้น กว่าจะได้มาเกิดในยุคที่เจริญนี้ครับ ๒ ยุคสร้างโพธิสัตว์ ได้แก่ยุค “เจนเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์” หรือยุคปู่ย่าตา

บริวารในชาติหน้าของเราคือใคร?

รูปภาพ
“บริวารของเรา” เช่น พ่อแม่, ครูอาจารย์, พี่น้อง, เพื่อน, คนรับใช้ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมาจากการสร้างบุญกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน หากสร้างในชาตินี้จะได้ผลชาติหน้า แต่ละคนแต่ละตำแหน่งมีที่มาแตกต่างกันอย่างไร? สังเกตุได้อย่างไร? ทำนายได้อย่างไร? ในบทความนี้จะขออธิบายและยกตัวอย่างเป็นเบื้องต้น ดังต่อไปนี้ ๑ พ่อแม่มาจากไหน? บริวารของเราล้วนมาจากการสร้างกรรม, บุญหรือบารมีร่วมกันทั้งสิ้น ทว่า คนเหล่านั้นจะไม่ได้ตำแหน่งเหมือนกันเพราะมีความปรารถนาและพฤติกรรมการกระทำ ไม่เหมือนกัน สำหรับคนที่เข้ามาร่วมกรรมหรือบุญบารมีกับเราแล้วได้ตำแหน่งพ่อหรือแม่นั้น จะเป็นผลมาจาก “การชอบอยู่เหนือเรา” ชอบข่มเราไว้ นี่ละ คือ ลักษณะของความเป็นพ่อแม่ครับ ส่วนเราถ้ายอมรับให้เขาข่มได้ ยอมแพ้เขาได้บ้าง เราก็จะได้เขาเป็นพ่อแม่ในอนาคตเรา แต่ถ้าเราไม่ยอมใครเลย ก็จะหาพ่อแม่เกิดไม่ได้ หรือหากได้ ก็จะเสียพ่อแม่กลายเป็นเด็กกำพร้าได้ครับ ดังนั้น การละสักกายทิฐิ การยอมคนอื่นเสียบ้าง มีผลดีมาก เพราะทำให้เราได้พ่อแม่ครับ ๒ ครูอาจารย์มาจากไหน? “ครู” กับพ่อแม่มีที่มาคล้ายกันมาก คือ อยู่เหนือเรา กดข่มเราได้ ให้เราเป็นผู้น

พาหะนำพลังชีวิต

รูปภาพ
หลายคนชอบพล่ามอวดโชว์ธรรมะ วันๆ เอาแต่ทะเลาะถกเถียงกันเรื่องธรรมะ ทว่า เมื่อสังเกตุดูจะพบว่าคนเหล่านี้ช่างไม่ต่างอะไรกับชาวโลกที่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย มิได้มีลักษณะหรือพลังงานแบบผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะอะไร? เพราะเขาไม่มีพลังชีวิตที่ดีครับ ในบทความนี้จะขออธิบายต่อ ดังต่อไปนี้ ๑ พลังชีวิตคืออะไร? “พลังชีวิต” ในที่นี้หมายรวมพลังงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตหรือมาจากสิ่งมีชีวิต อันตาเปล่ามองไม่เห็น คลื่นพลังงานมีหลายความถี่และพลังงานหลายชนิดละเอียดเกินกว่าจะมองเห็นได้ ทั้งยังไม่มีความเย็นหรือร้อนอีกด้วย พลังชีวิตมีในสิ่งมีชีวิตและเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะเราทั้งหลายอย่างมาก หลายคนอาจไม่ทราบว่าการกระทำของพวกเขานั้น “ไม่ใช่ของเขาเอง” ไม่ใช่อัตตา ตัวกูของกู หลายคนเหมือนหุ่นที่ถูกเชิด ถูกพลังชีวิตขับดันพัดพาไปดั่งว่าวสายขาดที่ลอยไปตามกระแสลม แล้วแต่ว่ากระแสคนส่วนใหญ่หรือพลังงานส่วนใหญ่จะไหลไปทางไหน ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องพลังชีวิต ย่อมเป็นผลดีต่อท่านมาก ๒ พาหะนำพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นพาหะนำพลังชีวิตได้ทั้งนั้นแต่ความสามารถในการนำพลังงาน

ภูมิปัญญาแห่ง “พลังแห่งสัมพัทธภาพ”

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าว ถึง การเลื่อนระดับและการหลุดพ้นเอาไว้ ทว่า หากสัตว์ทั้งหมดหลุดพ้นพร้อมกัน โลกก็จะต้องวิบัติแน่นอนเพราะไม่เหลือสัตว์ใดประจำที่ดูแลโลกเลย ดังนั้น เพื่อให้จักรวาลคงดุลยภาพไว้ได้ ก็ต้องมี “พลังแห่งการยึดโยง” ที่ผูกมัดสัตว์ที่ยังไม่ ถึง วาระจะหลุดพ้นไว้ในคอกในกรง ดังจะอธิบายต่อไปนี้ ๑ สัตว์ทั้งหลายมีวาระในการหลุดพ้น ดังที่กล่าวแล้วว่าถ้าสัตว์ทั้งหมดหลุดพ้นจากโลกพร้อมกัน โลกจะวิบัติเพราะไม่มีสัตว์ใดดูแลโลกเลย ดังนั้น จึ ง ต้องมี “ลำดับคิวในการหลุดพ้นและการตรัสรู้” เหมือนพระพุทธเจ้าหลายๆ องค์ ก็มีลำดับคิวในการตรัสรู้ สัตว์ทั้งหลายก็มีลำดับคิวในการหลุดพ้นเช่นกัน หากยังไม่ใช่วาระ สัตว์นั้นก็จะไม่หลุดพ้น ทำอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ครับ โดยจักรวาลจะมีระบบดูแลลำดับคิวในการตรัสรู้และการหลุดพ้นนั้นอย่างดีไม่ให้มีสิ่งผิดพลาดได้ ทีนี้ ทำอย่างไรจึ ง จะให้สัตว์ไม่แย่งกันไปสู่ความหลุดพ้นละ? คำตอบคือต้องมี “เครื่องหลอกล่อ” และมีกรรมยึดโยงสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ ไม่ให้หลุดพ้นก่อนเวลาได้ ทั้งหมดนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่า “พลังสัมพัทธภาพ” ครับ น ๒ กรรมคือเครื่องผูกมัด ยึดโยง สัตว

การโปรดสัตว์ต่างมิติ

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่องของ “ร่างหุ่น” และพลังงานแฝงมามากมายแล้ว หลายคนอาจมองว่าพลังที่เข้ามาแฝงเร้นอยู่กับคนนั้นไม่ดีทั้งหมดหรือไม่? ก็ไม่ครับ พลังงานแฝงที่ดีก็มี ในบทความนี้จะขออธิบายว่าพลังงานแฝงที่ดีที่ขอเรียกว่า “สัตว์ต่างมิติ” นั้นมีความเป็นมาและแตกต่างจากที่ไม่ดีอย่างไร?ดังต่อไปนี้ ๑ พลังงานแฝงและสัตว์ต่างมิติ สัตว์ต่างมิติจะอยู่ในรูปพลังงานแฝงเหมือนจิตวิญญาณทั่วไปที่มาแฝงร่างของมนุษย์ ทว่า ความแตกต่างคืออะไร? อย่างนี้ครับ พลังงานแฝงจะมาด้วยกรรมไม่ใช่ด้วยบารมี แต่สัตว์ต่างมิติจะมาด้วยบารมี เราจะมีได้เมื่อเราสร้างบารมีธรรม เราก็จะได้รับสัตว์ต่างมิติมาครับ สัตว์ต่างมิตินั้นยังไม่หลุดพ้นมีลักษณะคล้ายๆ กับพลังงานแฝงอื่นๆ แต่ผลที่ออกมาจะต่างกันมาก กล่าวคือ พลังงานแฝงมาด้วยกรรม เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ส่งผลไม่ดีต่อร่างนั้นๆ แต่สัตว์ต่างมิติจะมาด้วยบารมี จะมาส่งเสริมให้คนๆ นั้นสร้างบุญบารมีร่วมกันครับ เช่น ปีศาจลิงซุนหง๋อคง ก็คือสัตว์ต่างมิติ มองไม่เห็นด้วยตาแต่มีจริง และถูกเล่าเป็นนิทานอีกทีครับ ๒ การล่อลวงของพวกพลังงานแฝง วิธีการล่อลวงของเหล่าจิตวิญญาณที่มองไม่เ

จุติจิต : นำพาไปเกิดที่ใด?

รูปภาพ
“ตายแล้วไปไหน?” คำถามนี้หลายคนคงสงสัยกันมานาน ในบทความก่อนๆ ก็ได้กล่าวเรื่องจุติจิตไปบ้างแล้วว่าสามารถสังเกตุได้ว่าจะไปเกิดที่ใด? ในบทความนี้ขออธิบายขยายความต่อไปอีก เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พอๆ กับเรื่องนิพพาน เพราะหลายคนเข้าใจผิดในสองเรื่องนี้เยอะมาก จึ ง ขออธิบายดังต่อไปนี้ ๑ นิพพานกับการเกิด ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวแล้วว่านิพพานกับการเกิดไม่เกี่ยวข้องกัน หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านิพพานคือไม่เกิดอีก จริงๆ ไม่เกี่ยวกันเลยครับ จะบอกว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ได้ เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน หลายคนมักเอามาโยงกันเพราะคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะผู้แสวงหาความไม่เกิดอีก คงค้นพบสิ่งที่ตนค้นหาแล้ว แท้แล้ว พระสมณโคดมได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้ตายจากโลกแล้ว และท่านไม่ใช่คนเดิม ท่านคือพระสมณโคดมผู้ตรัสรู้นิพพาน อันไม่เกี่ยวกับการเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกแต่อย่างใด ไม่เกี่ยวกับความต้องการของเจ้าชายสิทธัตถะผู้อ่อนเยาว์ต่อโลกคนนั้นแต่อย่างใด นี่คือ สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจก่อนจะศึกษาเรื่องนิพพาน ๒ จุติจิตกับการเคลื่อนสู่ภพใหม่ “จุติแปลว่าเคลื่อน” หมาย ถึง การเคลื่อนจากภพภูมิ หนึ่ง