บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน 30, 2018

จิตวิญญาณต่ำกว่ามนุษย์ ธรรมพุทธใช้ไม่ได้?

รูปภาพ
พญานาคบวชพระไม่ได้เพราะไม่ใช่มนุษย์ ด้วยธรรมของพุทธศาสนา ได้ผลเฉพาะแต่ผู้ที่มีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ ขึ้น ไปเท่านั้น ( พญานาคต่ำกว่ามนุษย์ ) ในบทความนี้จะขออธิบายปัญหาการปฏิบัติธรรมในพุทธว่าทำไมไม่เกิดผล? ไม่ก้าวหน้า? ทำไมมีปัญหา? อันเนื่องมาจากจิตวิญญาณต่ำกว่ามนุษย์ ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ ปีศาจบำเพ็ญธรรม? ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ มีจิตวิญญาณมนุษย์มาก่อนทั้งสิ้น แต่เมื่อใช้ชีวิตผ่านวิบากกรรมมากมายแล้ว ก็เสื่อมจากความเป็นมนุษย์ไปก็มี เมื่อจิตวิญญาณเสื่อมต่ำกว่ามนุษย์แล้วก็จะส่งผลให้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล บางคนกลายเป็นร่างบำเพ็ญของปีศาจ มีจิตวิญญาณปีศาจมาแทรกอยู่ในร่างก็มี การแทรกซ้อนแบบนี้จะทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลครับ แม้ว่าเขาจะมีสมองดี อ่านหรือฟังธรรมะได้เข้าใจหมดก็ตาม แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณเลย ดังที่กล่าวไว้แล้วในบทความก่อนๆ ปีศาจบำเพ็ญธรรมพบได้ไม่น้อย เช่น ซุนหง๋อคง, ไป๋ซู่เจิน ฯลฯ ต้องใช้ธรรมของเต๋า ผ่านการกำเนิดใหม่เป็นมนุษย์ก่อนจึ ง ปฏิบัติธรรมได้ครับ ๒ ธรรมพุทธต้องมีพื้นฐาน เรียกว่า “พละห้าต้องเข้มแข็งพอ” เหมาะสมที่จะรองรับธรรมพุทธได้ หากอินทรีย์

การพัฒนาจิตใจที่ผิดจุดเป็นไฉน?

รูปภาพ
“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน” การปฏิบัติธรรมจึ ง สำคัญที่ใจ ทว่า ก็มิใช่ว่าจะต้องยึดติดใจ และไม่ใช่ไม่สนใจร่างกายเลยก็หาไม่ คิดแบบนั้น แสดงว่าไม่เข้าใจความหมายของธรรมนี้นะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่มเรื่องการปฏิบัติธรรมที่ผิดจุดที่มักพบได้ทั่วไป ทำให้ไม่ก้าวหน้า ไม่ได้มรรคผล ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ พัฒนาจิตวิญญาณแฝง หลายท่านบำเพ็ญธรรมแล้วไม่ได้ผลอะไรเลยเพราะบำเพ็ญผิดจุดไปพัฒนา “จิตวิญญาณแฝง” แทน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อน ในศาสนาพราหมณ์จะสอนเรื่อง “อาตมัน” เพื่อให้เราแยกแยะได้ว่าอะไรที่ไม่ใช่เรา อะไรที่แฝงรูปแฝงรอยมาอยู่กับเรา และเพื่อให้เราพัฒนาจิตใจของเราได้ตรงจุดจริงๆ ทว่า หลายคนไม่มีพื้นฐานพราหมณ์มาก่อน คิดดูนะครับ พระสมณโคดมเป็นเลิศแค่ไหน? สร้างบารมีมามากกว่าเราแค่ไหน? แต่ท่านก็ยังต้องไปปฏิบัติพราหมณ์เป็นพื้นฐานมาก่อน เพราะอะไรครับ? เพราะการ ฝึก จิตนั้นมันไม่ใช่ของง่ายๆ เหมือนการ ฝึก กายหรือการเล่นกล้ามยังไงละครับ ( โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีได้มากมาย ) ๒ พัฒนาสมองและความคิด อีกกรณีที่พบบ่อยๆ คือหลายท่านปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ผลเพราะปฏิบัติผิดจุด ไม่ได้ปฏิบัติ

การพัฒนาจิตใจที่แท้จริง

รูปภาพ
หลายท่านคิดว่าได้ปฏิบัติธรรมแล้วมากมาย แต่ทำไม จิตวิญญาณไม่พัฒนาเลย? ง่ายๆ ครับ เหมือนคนที่เล่นกล้ามแล้วอยากให้กล้ามหน้าอกใหญ่ ทว่า เล่นไปแล้วไม่ใหญ่ ขึ้น เลย ได้แค่กล้ามแขนอย่างเดียว? นี่ละครับ การพัฒนาตัวเองผิดจุด ไม่ใช่การพัฒนาจิตใจที่แท้จริง ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่ม ดังต่อไปนี้ครับ ๑ หลายคนไม่ได้พัฒนาจิตใจที่แท้จริง อ้าวแล้วพัฒนาอะไร? คำตอบคือ พัฒนา “บุคลิกภาพแฝง” หรือตัวตนแฝงอื่นๆ เรียกง่ายๆ ว่าปฏิบัติธรรมให้จิตวิญญาณอื่นที่แฝงในร่างก็ได้ แต่ตนเองจะไม่ได้อะไรเลย ยกตัวอย่างเช่น จิตวิญญาณในร่างต้องการไปช่วยเหลือคน แต่ดลใจให้เราอยากไปเที่ยวที่นั่น เราไปด้วยจิตใจที่อยากเที่ยวไม่ได้บำเพ็ญหรือพัฒนาสิ่งใดเลย ทว่า จิตวิญญาณที่แฝงในร่างกายของเรา ได้ช่วยเหลือคน ได้ทำหน้าที่เต็มที่ จิตวิญญาณของเขาก็ได้บุญบารมีไป ได้พัฒนาจิตใจไป บางครั้งเราก็อ้างว่าเราไปช่วยคนทางจิตนะ ใช้จิตช่วยคนนะ จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่จิตวิญญาณของเราครับ เป็นจิตวิญญาณแฝง สุดท้าย เราจะไม่ได้อะไรเลย เขาได้ไปฝ่ายเดียวครับ ๒ ทำไมบำเพ็ญธรรมเยอะแต่ไม่ไปไหน? นี่คือสาเหตุที่ทำให้บางท่านบำเพ็ญธรรมมากมายแต่ไม่ก้าว

ภูมิปัญญาแห่ง “มนุษย์และศิลปะ”

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าว ถึง โลกและระบบแล้วว่าเป็นดั่งกรงขังสัตว์ ทว่า มนุษย์มิใช่สัตว์ที่ถูกขังกรงอยู่ไปวันๆ เช่นนั้น มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีสมอง, มีมือ, มีเท้า ฯลฯ เพื่อให้ทำภารกิจต่างๆ ที่ควรจะทำ ไม่ใช่ให้มาเป็นพระอิฐพระปูน นั่งนิ่งให้คนกราบเหมือนซอมบี้อะไรเช่นนั้น ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ ๑ มนุษย์มีเจตจำนงเสรีในการกระทำ มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีอิสรเสรีในการกระทำและไม่กระทำใดๆ เพราะความเป็นมนุษย์นั้นจะแสดงตัวและบ่งบอกมนุษย์เองว่าสิ่งใดที่ควรทำและไม่ควรทำ การกระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่มนุษย์เขาไม่ทำกัน ย่อมไม่อาจรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ ดังนั้น ในความเป็นมนุษย์เองนั้นหละ ที่คอยกระตุ้นเตือนมนุษย์เองว่าสิ่งใดควรและไม่ควรทำอย่างไร? มนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์จึ ง ได้รับ “เจตจำนงเสรี” เต็มที่ คือ ความสามารถที่จะทำหรือไม่ทำอะไรได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครมาสั่ง ทว่า ต่อมามนุษย์ได้หลงผิดทำให้พระเจ้าลงโทษ มนุษย์ก็ขาดอิสระและต้องกลายเป็นทาส ไม่มีเจตจำนงเสรีอีก จะต้องถูกสั่งใช้ให้ทำหรือไม่ทำอะไรเรื่อยไป น ๒ มนุษย์แค่สวมหัวโขนแสดงบทบาท แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นไม่

ไม่หลุดพ้นเพราะธรรมเป็นไฉน?

รูปภาพ
ผู้ไม่มีธรรมในตนแต่ชอบมาศึกษาธรรมของผู้อื่น จะต้องกรรมทำให้ไม่หลุดพ้นในลักษณะต่างๆ ด้วยไม่ได้ปฏิบัติธรรมเอาความหลุดพ้นแท้จริง บางคนก็เอาธรรมะไปหากิน ได้ลาภสักการะไปก็มี ผลกรรมเหล่านี้ก็ทำให้ไม่หลุดพ้น ในบทความนี้จะขออธิบายว่าผู้ไม่หลุดพ้นเพราะธรรมเป็นอย่างไรบ้าง? ดังต่อไปนี้ครับ ๑ เ ป็นเวตารเพราะหวงวิชา การปฏิบัติธรรมทางพุทธนั้นท่านให้ทำลายวิชาเสียเพราะวิชาต่างๆ เป็นสังโยชน์เครื่องผูกมัดตน จนเมื่อได้บรรลุธรรมแล้วนั่นแหละ หากจะเกิดวิชาทางธรรมก็จะมีมาเอง อันนี้จะไม่ใช่สังโยชน์แต่เป็นผลของธรรมอีกที ทว่า หลายท่านไม่เข้าใจไป ฝึก วิชาแบบตั้งเจตนาเอา วิชาที่ ฝึก ก็ผูกมัดตัวเอง ยิ่งคนที่หวงวิชาด้วยแล้ว ก็จะกลายเป็นเวตารครับ วิชาทางจิตต่างๆ นั้น หากไม่ทำให้เราหลุดพ้นแล้วก็ควรเลี่ยงเสีย เพราะผูกมัดให้ไม่หลุดพ้นได้ง่าย คนทั่วไปที่ไม่มีวิชาอาคม ทำบุญสนับสนุนพุทธศาสนาไม่ต้องมาก ยังมีโอกาสได้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่คนที่มีวิชาติดตัวแล้วไม่หลุดพ้นได้ จะไม่อาจไปเกิดเป็นเทวดาได้ จะเป็นได้แค่เวตารเท่านั้นครับ ๒ เป็นฤษีเพราะหลงปฏิบัติ การลุ่มหลงเพียรจมอยู่ในการปฏิบัติธรรมแต่กลับไม่เกิดมรรค

ธรรมะแบบปฐมภูมิ

รูปภาพ
ผู้มีปัญญานั้นจะต้องมีธรรมในตน กล่าวธรรมจากตนได้โดยไม่ต้องลอกใครมา ดังนั้น การกล่าวธรรมนั้นจึ ง เป็นการกล่าวครั้งแรกเสมอ เรียกว่า “ปฐมภูมิ” ส่วนผู้ไม่มีปัญญาแท้จริง จะคอยแต่ลอกคนอื่น เอาแนวคิดของคนอื่นมาใช้ ดังนั้น ย่อมไม่อาจกล่าวอะไรที่เป็นปฐมภูมิได้ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ไม่ใช่การนำเอามากล่าวตรงข้าม บางคนไม่ได้ตรัสรู้ธรรมจริง ไม่มีธรรมปฐมภูมิจากภายในตัวเองจริงแต่ใช้หลักการ “ตรงข้าม” แทน กล่าวคือ หากเขาบอกขวา เราก็จะกล่าวว่าซ้าย หากเขาบอกชาย เราก็จะกล่าวว่าหญิง ฯลฯ เป็นต้น คนแบบนี้ไม่ได้มีธรรม ไม่ได้มีแม้แต่ความเป็นตัวของตัวเองครับ เพราะ “อิงอาศัยคนอื่น” ตลอดเวลา อิงอาศัยอย่างไร? คือ อาศัยว่าเขาพูดอะไร เราก็จะไปทางตรงข้าม นั่นเอง การทำให้เป็น “ตรงข้าม” เสีย จะหลอกคนอื่นได้ว่าเราไม่ได้ก็อปของเขามา ทำให้ดูเหมือนว่าธรรมะของเราใหม่ คิดได้เอง ทั้งที่จริงก็อิงกับคนอื่นตลอด เพียงแต่ใช้หลักทำให้เป็นตรงข้ามเสีย เท่านั้นเอง อันนี้อันตรายนะ ธรรมเขาถูกต้อง เราไปสอนให้คนไปผิดทางไงละฮะ   ๒ ไม่ใช่การนำเอามาเรียบเรียงใหม่ การเอาธรรมะของคนอื่นหลายๆ คน มาผสมกันแล้ว

คนที่โชคดีในโลกนี้เป็นไฉน?

รูปภาพ
โลกธาตุต่างๆ ในจักรวาลมีมากมาย มีโลกธาตุที่แท้จริง อันดำรงอยู่ได้แท้จริง เช่น สุขาวดี, พรหมโลก ฯลฯ และมีโลกธาตุที่ถูกสร้างมาเพื่อการวิวัฒนาการ มิได้มีไว้เพื่ออยู่อาศัยจริง เช่น โลกของเรานี้ คนที่โชคดีในโลกนี้ จึ ง เป็นคนที่ “ล้มเหลว - ไม่เอาไหน” ในโลกนี้ เอ๊ะ ยังไง? ในบทความนี้จะขออธิบายดังต่อไปนี้ครับ ๑ ไม่เด่นดัง ไร้ชื่อเสียง ไม่มีใครเอา โลกนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง มันถูกสร้าง ขึ้น เพื่อรองรับการชำระบาปกรรมของสรรพจิตทั้งหลายเท่านั้นเอง เหตุนี้คนที่ดีจริงจะต้องดีใน “โลกที่แท้จริง” ไม่ใช่โลกนี้ โลกนี้คือ “มายาการ” ครับ ดังนั้นคุณต้อง “มองมุมกลับ” ยิ่งได้ดีในโลกนี้ ยิ่งไม่ดี ยิ่งไม่ได้ดีในโลกนี้ ยิ่งรอดพ้น นี่คือหลักง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ การไม่เด่นดัง ไร้ชื่อเสียง ไม่มีใครเอา นั่นแหละ “ใกล้หลุดพ้น” ใกล้ความรอดมากที่สุด ยิ่งเด่นดัง ยิ่งมีชื่อเสียง ยิ่งมีคนจะเอา ก็ยิ่งจะถูก “ล่า” ในโลกนี้มีซาตาน, ปีศาจ, มาร, อสูรร้าย ฯลฯ มากมายที่จะล่าเอาคนเก่งๆ ไปเป็นพวก คนเก่งเหล่านี้ไม่ใช่คนโชคดี ตรงข้ามคือ คนโชคร้ายครับ เพราะไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในโลกนี้ไปได้ ๒ ป่ วย