บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม 29, 2018

ระดับชั้นของการดำรงอยู่ (Hierarchy of life)

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้กล่าว ถึง เรื่อง “ระดับชั้นของจิต” มาบ้างแล้ว ในบทความนี้ จะอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องระดับชั้นของการดำรงอยู่ เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าคนเราทุกคนเท่ากัน แล้วคิดว่าเราจะต้องไปประท้วงเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกัน ให้เรามีรายได้เท่ากัน ซึ่ง ไม่ถูกต้อง ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ ๑ การดำรงอยู่แบบต่ำกว่ามนุษย์ คนเราอาจมีการดำรงอยู่ที่ต่ำกว่ามนุษย์ได้ หากจิตวิญญาณของเราเสื่อมลงหรือมีวิบากกรรมหนักทำให้เราต้องได้รับผลกรรมนั้น เช่น ทำให้ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง, การเป็นคนอนาถายากไร้ ฯลฯ อย่างแรกเราต้องรู้ก่อนครับว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาดำรงอยู่เช่นนั้น แต่ที่มนุษย์ต้องดำรงอยู่เช่นนั้น มีชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานนั้นเพราะเหตุอื่นๆ เช่น เพราะบาปกรรมของมนุษย์เอง, เพราะความเสื่อมของจิตวิญญาณ ฯลฯ เมื่อใดที่เรามีจิตวิญญาณข้างในเป็นเปรต เราต้องอยู่อย่างเปรตไม่ใช่มนุษย์ เมื่อใดที่เรามีจิตวิญญาณเป็นสัตว์นรก เราต้องอยู่อย่างสัตว์นรกไม่ใช่มนุษย์ การดำรงชีพที่ต่ำกว่ามนุษย์นี้ มีให้เห็นทั่วไปในปัจจุบัน   ๒ การดำรงอยู่แบบมนุษย์ทาส จักรวาลออกแบบให้จิตระดับชั้นต่าง

ระดับชั้นของจิตวิญญาณ (Hierarchy of soul)

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้กล่าว ถึง เรื่อง “การใช้พลังจักรวาล” มาแล้ว ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องระดับชั้นของจิตวิญญาณ เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าคนเราทุกคนเท่ากัน แล้วคิดว่าจิตเราเท่ากันและเท่ากับพระเจ้า เลยไม่ต้องยกระดับจิตกันอีกต่อไป ซึ่ง ไม่จริงครับ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ ๑ จิตต่ำกว่ามนุษย์ คนเราอาจมีจิตวิญญาณที่เสื่อมลงจนต่ำกว่ามนุษย์ได้ หลายคนสามารถสูญเสียจิตวิญญาณมนุษย์ไปได้ เมื่อสูญเสียไปแล้วก็จะกลายเป็น “ร่างเปล่า” เหมือนหุ่นยนต์จากนั้นจะมี “จิตวิญญาณระดับต่ำกว่ามนุษย์” เข้ามาอยู่อาศัยได้ จิตวิญญาณที่ต่ำกว่ามนุษย์มีหลายแบบ เช่น ปีศาจ, อสูร, เปรต, กอปลิน, แวมไพรม์ ฯลฯ ส่งผลให้คนๆ นั้นไม่เหลือความเป็นมนุษย์ มีความคิด, จิตใจ และพฤติกรรมที่ต่างจากมนุษย์ ทว่า จะดูออกได้ยาก เพราะพวกเขาจะพยายามปกปิดไม่ให้ใครรู้ เช่น ผู้เขียนเคยเป็นร่างของแวมไพรม์ เป็นองค์ชายของเผ่าแวมไพรม์ ทุกคืนจะนอนไม่หลับต้องออกไปเที่ยว ไม่ต้องจ่ายเงิน แถมชอบใครจ้องตาแล้วก็ได้เลย ๒ จิตระดับมนุษย์ มนุษย์จะไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์อะไรทั้งนั้น เหมือนสัตว์ชนิดเดียวกัน เมื่อเราเ ป็นมนุษย์เหมือนกัน

จะใช้พลังจักรวาลได้อย่างไร?

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้กล่าว ถึง เรื่อง “พลังจักรวาล” ที่ใช้เพื่อความร่ำรวยกันมาแล้ว ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องการใช้พลังจักรวาลว่าเราจะนำพลังจักรวาลมาใช้ได้อย่างไร? เราจะไม่ต้องใช้แต่พลังของตัวเองแล้วต้องขัดแย้งกับจักรวาล เหมือนเอาไม้ซีกมางัดไม้ซุงอีกต่อไป เมื่อเราใช้พลังจักรวาล ดังต่อไปนี้ ๑ ความเป็น หนึ่ง เดียวกับจักรวาล ในบทความก่อนได้กล่าว ถึง ความเป็น หนึ่ง เดียวกับจักรวาลมาบ้างแล้วแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าทำอย่างไร หลักการง่ายๆ คือ เราและจักรวาลเป็น หนึ่ง เดียวกันอยู่แล้ว เพียงเราไม่ “แปลกแยกตัวเองออกมา” ก็เท่านั้น หลายคน “จิตใจอ่อนแอ” พวกเขาค่อยๆ สร้างกำแพง ขึ้น มาปกป้องตัวเอง นานวันเข้าพวกเขาเริ่มแปลกแยก ตัวเองออกจากสรรพสิ่งรอบตัวโดยที่พวกเขาก็ยังอยู่ร่วมกับคนทุกๆ คน คล้ายๆ พระปัจเจกโพธิยานไงครับ คำว่าปัจเจกโพธิยานนี่ไม่เหมือนปัจเจกชนนะ คำว่า ปัจเจกชนหมาย ถึง คนในฐานะคนแบบเดี่ยวๆ คนเดียว แต่คำว่าปัจเจกโพธิยานนี้ หมาย ถึง คนที่ชอบทำตัวแปลกแยกไม่เอาไหนอะไร ไม่รับผิดชอบใครใดๆ อีกแล้ว   ๒ การเ ปิดกว้างเปิดจักระรับพลัง เมื่อเราทลายกำแพงใจของเราได้แล้ว ขั้นต่อไ

ร่ำรวยด้วยกฎของแรงดึงดูด

รูปภาพ
เขียนบทความพุทธมามากแล้ว ในบทความนี้จะอธิบายธรรมะในมุมมองที่แตกต่างดูนะครับ กล่าวคือ ในมุมมองของปรัชญาแนวใหม่ในเรื่อง “ความร่ำรวย” ที่นิยมใช้กันในนาม กฎของแรงดึ ง ดูดครับ หลายท่านอาจเคยปฏิบัติกันมาแล้วแต่หลายคนอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบาย ดังต่อไปนี้ ๑ ความเป็น หนึ่ง เดียวกับจักรวาล หลายท่านที่ ฝึก พลังเชิงบวกและกฎของแรงดึ ง ดูดแล้วไม่ได้ผลเพราะอะไร? ข้อแรกเลย สำคัญมากครับ คือ คุณไม่ได้เป็น หนึ่ง เดียวกับจักรวาลแต่คุณกำลัง “แปลกแยกตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อม” ด้วยการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตัดขาดกับธรรมชาติอันแท้จริง แล้ว “เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่” เมื่อคุณทำเช่นนี้ พลังจักรวาลก็เชื่อมต่อกับคุณไม่ได้อีกแล้ว แล้วคุณจะเอาพลังที่ไหนไปทำให้ความปรารถนาของคุณสำเร็จละ? ในเมื่อคุณไม่ได้เป็น หนึ่ง เดียวกับจักรวาล ไม่ได้เคลื่อนคล้อยอย่างกลมกลืนกับพลังจักรวาล แต่คุณเอาตัวเองเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง เอาความคิดไร้สาระของคุณมาเป็นพลัง เหมือนแสงหิ่งห้อยอันน้อยนิด ๒ การอยู่บนพื้นฐานความจริง หากคุณไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงแต่ “หลงอยู่ในโลกของความคิด” อ่านให

ความร่ำรวยแบบอนัตตาที่แท้จริง

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายแนวคิดในการดำรงอยู่อย่างสมศักดิศรีของมนุษย์แบบผู้มีปัญญา ที่ไม่ใช่แบบปุถุชนหลงโลกมาแล้วว่าสามารถจะสมความปรารถนาได้อย่างไร? ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมในเรื่อง “ความร่ำรวยแบบอนัตตาที่แท้จริง” ซึ่ง เป็นความร่ำรวยแบบไม่ครอบครองแต่สามารถใช้ได้ ดังต่อไปนี้ ๑ ความร่ำรวยที่ไม่ครอบครองแต่ใช้ได้ ดังที่ได้ยกตัวอย่างการดำรงอยู่ของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา เช่น การไม่ครอบครองที่อยู่แต่สามารถอยู่ในวัดได้ นี่เรียกว่าไม่ได้ครอบครองแต่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เป็นความร่ำรวยแบบอนัตตาครับ การปฏิบัติธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างคนยากจน จะอยู่อย่างคนรวยก็ได้ แต่มิใช่อยู่อย่างคนรวยที่หลงโลกเหมือนปุถุชนทั่วไป ในความเป็นจริงไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่สิ่งอื่นก็สามารถใช้โดยไม่ครอบครองได้เช่นกัน ทว่า สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่จะคิดเอาเองหรืออยากทำก็ทำได้ แต่จะต้อง “ปฏิบัติให้ ถึง ” ก่อน เมื่อปฏิบัติ ถึง ขั้นนั้นแล้วก็จะเห็นผล มีความสามารถที่จะใช้โดยไม่ครอบครองได้ แต่มิใช่ว่าสิ่งของทุกอย่างจะได้ผลเช่นนี้พร้อมกันหมดนะครับ ๒ เ ป็ นสิ่งแท้ภายในมิใช่สิ่งของภายนอก “ความร่ำรวยแบบอนัตตา” เ ป

สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่แท้จริง

รูปภาพ
หลายท่านอาจเข้าใจผิดคิดว่าผู้เขียนเสนอแนวคิดที่อ่อนแอล้าหลังให้ผู้อ่านต้องอยู่อย่างคนจนๆ ที่ไม่มีปากเสียงใดๆ ไปวันๆ เพราะ “กลัวกรรม” ไม่ใช่นะ ผู้เขียนแค่ปูพื้นฐานธรรมะขั้นต้น ในบทความนี้จะยกตัวอย่างแนวคิดในการดำรงอยู่อย่างสมศักดิศรีของมนุษย์แบบผู้มีปัญญา ที่ไม่ใช่แบบปุถุชนหลงโลก ดังต่อไปนี้ ๑ ความร่ำรวย คนที่ยังไม่ตื่นแจ้งโลก ยังไม่มีปัญญา ย่อมคิดไม่ต่างจากปุถุชนธรรมดาว่าความร่ำรวยที่แท้จริงคือการได้ถือครองสิ่งของต่างๆ วัตถุต่างๆ มากมาย อันนี้เป็นแนวคิดของพวก “วัตถุนิยม” นะครับ ในแง่ปรัชญาแนวคิดนี้ถือว่าต่ำมาก วิวัฒนาการล้าหลังสุด เอาละ ชายจะอธิบายแนวคิดเชิงปรัชญาที่ก้าวหน้ากว่า สมัยใหม่กว่าว่าความร่ำรวยเขาตีความกันอย่างไร? ความร่ำรวยแบบความหมายใหม่คือ การอยู่ได้โดยไม่ครอบครองฮะ เช่น คุณสามารถพักค้างคืนที่ใดก็ได้ทั่วไปในประเทศไทยเหมือนพระธุดงค์ แบบนี้เรียกว่า “ร่ำรวยที่อยู่” คือ อยู่ได้กว้างขวางทั่วไปหมด และสอดคล้องกับคำสอนและการปฏิบัติของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาด้วยครับ ๒ ความงดงาม สำหรับคนโง่ ไร้ ปัญญา มืดบอด จะมีมุมมองต่อความงดงามแบบแนวคิดวัตถุนิยมครับ คือ มองว่าทำยังไ