บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤษภาคม 27, 2018

เคล็ดลับการดำรงอยู่ในโลกแบบฆราวาสผู้ทรงธรรม

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้กล่าวแล้วว่าคนเราไม่ได้เกิดมาในโลกเพื่อความว่างเปล่าอย่างเดียว แล้วจะต้องมายึดมาพล่ามเพ้อความว่างเปล่าอะไรกัน แต่เราต้องมีสติอยู่กับธรรมปัจจุบัน ที่เป็นสมมุติมายา และไม่เที่ยงนั้น ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความต่อว่าเราจะมีเคล็ดลับอยู่กับโลกปัจจุบันได้อย่างไร? ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ชำระบา ปก่อนให้หมดเร็วๆ เพราะอะไรครับ? เพราะชำระบาปหมดเร็วเท่าไร เวลาในชีวิตที่เหลือของเราจะเป็น “กำไรที่แท้จริง” เท่านั้น เช่น หากเราชำระบาปหมดตอน อายุ 30 ปี แต่เรามีอายุขัย 60 ปี ที่เหลือเวลาในชีวิตอีก 30 ปี ก็คือกำไรชีวิตที่แท้จริงครับ หลายคนมักคิดว่ากำไรคือ “เงิน” ที่เหลือจากการหักรายได้ด้วยต้นทุน แท้แล้วนั่นยังไม่ใช่กำไรที่แท้จริงหรอกครับ มันเป็นแค่เกมเศรษฐี เหมือนคุณเล่นเกมมีได้มีเสียอะไรแบบนั้น แต่ชีวิตของคุณจริงๆ นี่ไม่ใช่ตัวเงิน ปริมาณเงิน หรือกำไรจากเงิน แต่มันคือ “ชีวิตที่เหลืออยู่จริงๆ ของคุณ” ถ้าคุณมีกำไรชีวิตที่ใช้หนี้เก่า ชำระบาปหมดแล้ว ยิ่งมาก ยิ่งนานเท่าไร นั่นละ กำไรชีวิตของคุณ มันก็ยิ่งมาก ยิ่งนานเท่านั้นครับ ๒ อย่าหลงไ ปทำอะไรที่มันไม่ใช่ หลายคนหลงไปทำอะไรท

การดำรงอยู่ในโลกใบนี้เป็นไฉน?

รูปภาพ
ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทความก่อนๆ ว่า การบรรลุธรรมไม่ใช่การหลงยึดติดในความว่างเปล่า ในปรัญชาใดๆจนละเลยว่าชีวิตยังต้องกิน, ต้องนอน, ต้องใช้เงิน ฯลฯ จนไร้สติกับปัจจุบันอย่างที่มันเป็น ตรงข้าม ผู้สำเร็จธรรมนั้นจะต้องมี “จริยาวัตร” ในการดำรงอยู่ในโลก ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ เราลงมาชำระบา ปตัวเอง คนเราทุกคนล้วนมีบาปมีกรรมทำมาทั้งนั้น ดังนั้น เราจึ ง ต้องมาชำระบาปตัวเองในโลกนี้ การชำระบาปนั้นมีหลายแบบครับ เช่น มีกรรมทำให้ป่วยหนัก, ถูกลงทัณฑ์, สูญเสียของรัก, การต้องเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น ฯลฯ การดำรงอยู่ในโลกมนุษย์มิใช่การดำรงอยู่ในสวรรค์ จะคิดมาหาความสุขในอุดมคติแบบอยู่บนสวรรค์มันก็เป็นไปไม่ได้ เราต้องอยู่กับความจริงของโลกที่มันเป็นณ ปัจจุบันนี้ต่างหาก แน่นอนว่ามันไม่สวยงามเหมือนดั่งในความฝันของเรา แต่นี่แหละ ที่ทำให้เราได้ชำระบาป ได้ชดใช้หนี้ของเรา จริงไหมครับ? ถ้าเราเอาแต่อยู่สุขสบายไปวันๆ เหมือนอย่างเทพบนสวรรค์ เราก็ไม่ได้ชดใช้หนี้กรรม ไม่ได้ชำระบาปอะไรให้ตัวเองเลยครับ ๒ สองระบบในโลกคืออะไร? ในโลกของเรามีอยู่สองระบบใหญ่ๆ นะคือ ระบบธรรมชาติกับระบบการป

เนื้อนาบุญที่แท้จริงเป็นไฉน?

รูปภาพ
หลายคนหลงผิดคิดว่า “เนื้อนาบุญต้องเป็นพระ” และมักไปแสวงหาพระที่ดูดี น่าเลื่อมใส ภาพลักษณ์ดี พูดเพราะ บุคคลิกดี ฯลฯ ทว่า คุณรู้ไหมที่ “หลีปู้เหว่ย” ได้เป็นใหญ่มาได้เพราะหนุนเนื้อนาบุญให้ได้เป็นฮ่องเต้ ดังนั้น เนื้อนาบุญไม่จำเป็นต้องเป็นพระเลยครับ ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ไม่ใช่ผู้ขอแต่เ ป็นผู้รับ คนบางคนสอนให้คนอื่นเป็นผู้ให้แต่ตัวเองกลับเรี่ยไรรับเงินคนไปทั่วก็มีนะ แบบนั้นไม่ใช่เนื้อนาบุญ แต่เป็นเจ้ากรรมนายเวรมาเอาคืนกัน เช่น นาย ก. ทำร้าย นาย ข. มาก่อน นาย ข. ก็เอาคืนแต่ไม่ใช่ด้วยการทำร้ายกลับ แต่เป็นการขอเงิน เรี่ยไรเงินจากนาย ก. ภาพเปลือกนอกดูเหมือนว่านาย ข. เป็นเนื้อนาบุญ ทว่า ไม่ใช่ครับ เขาแค่ใช้หนี้กรรมกันเท่านั้นเอง คนที่มีบุญจริงเขาจะไม่ขอใคร ไม่พูดจาหว่านล้อมด้วยคำหวานเพื่อให้ได้เงินใคร แต่เขาจะได้รับเอง เรียกว่า “ผู้รับ” ผู้รับนี่ไม่ใช่ผู้ขอ คนละเรื่องกันเลย ผู้ขอ คือ ผู้ก่อกรรมด้วยการขอ ส่วนผู้รับ คือ ผู้ที่ถูกกระทำด้วยกรรมทำให้ต้องกลายเป็นผู้รับ เห็นไหม? อยู่คนละฝั่งของกรรมกันเลย ๒ คือผู้เ ป็นเหมือนเขา โปรดเสือก็ต้องเคยเกิดเป็นเสือ

องค์รวมของภูมิปัญญาที่มนุษย์ควรทราบ

รูปภาพ
ผู้บรรลุธรรมมิใช่แค่บ้าความว่างเปล่า แล้วทุกอย่างมันจะจบได้ครับ ทุกวันยังต้องกิน ต้องใช้หรือเปล่า? นี่ต่างหากคือ “ชีวิตจริง” มันไม่ใช่ความว่างเปล่าที่เราจะมาบ้าคลั่ง พล่ามพรรณาแข่งกันอย่างนั้น จริงอยู่สิ่งต่างๆ อาจมีสภาพคล้ายความว่างเปล่า แต่เราจะไปยึดมันไม่ได้ เราควรรู้อะไรมากกว่านั้น ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ว่าด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ผู้บรรลุธรรมควรตื่นแจ้ง ตระหนักรู้ถึง “ธรรมะ ธรรมชาติ” ที่แท้จริง ว่ามิใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียว ที่เราจะต้องยึดถือไว้ แล้วสิ่งอื่นๆ ก็คิดว่าผิดหมด จึงละเลย ขาดสติกับธรรมตัวอื่นๆ ไปหมด แบบนั้นก็ไม่ใช่แล้วครับ ตรงข้ามผู้บรรลุธรรมจะตระหนักรู้แล้วปล่อยวาง คลายออกเสียจากธรรมใดธรรมหนึ่ง เพราะการยึดถือธรรมใดธรรมหนึ่ง นั้นล้วนเป็นอัตตา ก่อให้เกิด “ธรรมอัตตา” ขึ้นได้ จากนั้นจะสว่างโดยรอบถ้วนทั่วถึงธรรมทั้งมวลว่า “ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน” แลเห็นความเป็นกลางของธรรมทั้งหลาย ไม่มีถูกหรือผิด, ดีหรือชั่ว, บวกหรือลบ ไม่มีธรรมใดเอนเอียงไปทางใดมากกว่ากันนี่ละ “ความเป็นกลางตรงต่อธรรม” คือ ธรรมะ ธรรมชาติ ๒ ว่าด้วยโลก และกรงขัง (ระบบการปกครอง) ต่อมา ผู้บรรลุธรรมจะเริ่

โครงข่ายพลังงานในระดับชั้นของจิตวิญญาณ

รูปภาพ
ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าโลกไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน เราแค่มายังโลกเพื่อทำกิจบางอย่าง แล้วเราจะจากโลกนี้ไป ในบทความนี้ จะขออธิบาย ถึง ระดับชั้นของพลังงานที่เหมือน “กรง” ขังให้จิตวิญญาณอยู่ในระดับชั้นต่างๆ ซึ่ง เป็นสิ่งที่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และสามารถสังเกตุได้ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ กรงของพลังงานแต่ละระดับชั้นคืออะไร? คือ ทุกสิ่งที่ถูกสร้าง ขึ้น เพื่อที่จะทำให้จิตวิญญาณในระดับนั้นๆ ยังคงอยู่ในระดับเดิมครับ เหมือนกรงที่ขังสัตว์ ไม่ให้สัตว์ออกไปไหน เช่น ในระดับสูงๆ ไม่มีกามแบบมนุษย์ ไม่ได้ดำรงอยู่กันแบบผัวเมียอย่างมนุษย์ แต่ระดับชั้นที่ล่างลงมา สร้างระบบการอยู่กันแบบผัวเมียไว้ เพื่อขังกรงให้มนุษย์ยังคงอยู่ในระดับเดิมนั้นๆ ต่อไป และมนุษย์ที่อยู่ในระดับชั้นต่ำๆ เช่น ระดับมิติที่สามนี้ จะไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าระดับที่สูงกว่านั้น อยู่กันอย่างไร? เพราะพวกเขาจะถูกครอบงำความคิดด้วย “กรง” ที่มองไม่เห็นนี้ หล่อหลอมให้พวกเขามีระบบความคิด, ความเชื่อ, ความชอบ, ความสุข ฯลฯ ในแบบที่มิติที่สามควรจะเป็น ไม่ให้หลุดออกมาได้ น ๒ กรงของพลังงานเหล่านี้ มีไว้เพื่ออะไร