บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มิถุนายน 24, 2018

การยอมทำกรรมของโพธิสัตว์

รูปภาพ
การยอมทำกรรมนั้นจะแตกต่างจากคนทั่วไป ต่างจากปีศาจ, ซาตาน ในบทความจะขออธิบาย ดังต่อไปนี้     ๑ เ ป็ นธรรมะ ธรรมชาติจากภายใน คือ มันไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้จากภายนอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้อะไร ไม่ได้มาจากสมองคิดว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้อะไร แต่มันมาจากจิตสำนึกส่วนลึกๆ เหมือนคนโง่ๆ ที่ทำกรรมไ ปโดยไม่รู้จักคิด ต่างกันตรงไม่ได้ทำเพื่อสนองกิเลสส่วนตัวครับ ไม่มีกิเลสตัวไหนขับดันให้ทำ แต่ทำไปโดย จิตสำนึกส่วนลึก จริงๆ หลายคนยังไม่ใช่ เพราะยังทำด้วย “สมองคิด” อยู่นะครับ ไม่ได้มาจากจิตสำนึกส่วนลึกจึ ง ไม่ เ ป็ นธรรมะ ธรรมชาติ ๒ มักขัดแย้งกับสมองและความคิด คือ เมื่อโพธิจิตบังเกิด ขึ้น แล้วนั้น   คนผู้นั้นยอมทำกรรมเพื่อผู้อื่นไปโดยจิต เพราะโพธิจิตนั้นเอง มิใช่เพราะสมองและความคิด เมื่อนั้นเอง ก็จะมาคิดทีหลังและมักขัดแย้งกับตัวเองว่า “กูทำไปทำไมว๊า? กูไม่น่าทำเลย” เพราะทำแล้วตนไม่ได้อะไรด้วย ทำเพื่อคนอื่นทั้งนั้น แถมยังเป็นกรรมแก่ตัวอีกด้วย สมองนั้นชอบใช้ความฉลาด แต่จิตนั้นใช้ความใสซื่อ มันเลยขัดแย้งกันเอง ถ้ามั่นใจมากเกินไป อาจถูกหลอกให้หลงครับ ๓ มักขัดแย้งกับคนรอบข้างไปห

ไม่เจียมตัวเพราะขาดสัปปุริสธรรม ๗

รูปภาพ
“สัปปุริสธรรม ๗” คือ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษหรือผู้ดี ซึ่ง คนไทยพุทธหลายคนขาดอยู่ ดังจะอธิบายต่อไปนี้ ๑ รู้จักเหตุ คือ รู้ว่าสรรพสิ่งอนัตตา ไม่เที่ยง เกิดมาได้ด้วยการ ปรุงประกอบของ “เหตุปัจจัย” ต่างๆ เมื่อมีเหตุใดเกิดก็มีสติเท่าทัน เมื่อเหตุดับลงสติก็เท่าทันนี่เรียกว่า “รู้จักเหตุ” หลายคนไม่รู้จักเหตุ มัวแต่ยึดหลักปรัชญาตายตัว ท่าไม้ตาย เช่น อะไรก็ไม่ใช่, ไม่มีตัวตนแล้ว, ว่างเปล่าทั้งนั้น ฯลฯ แบบนี้เรียกว่าไม่รู้จักเหตุเพราะยึดติดในหลักปรัชญาใดปรัชญา หนึ่ง มากเกิน จึ ง ไม่มีสติเท่าทัน “เหตุปัจจัย” ที่เกิดดับ ณ ปัจจุบันว่าไม่เที่ยงอย่างไร ๒ รู้จักผล คือ รู้ว่ามีเหตุก็ต้องมีผล เมื่อเหตุดับผลก็ดับด้วยไม่เที่ยงอนิจจังอนัตตา ไม่มีสิ่งใดที่เ ป็นเหตุเกิดแล้วไม่ให้ผล ทำกรรมแล้วไม่มีผลนั้นไม่มี ปฏิบัติธรรมตามมรรคแล้วไม่ได้ผลนั้นไม่มี บางคนไปปฏิเสธผล สอนคนว่าไม่มีการบรรลุอะไรทั้งนั้นก็มี แบบนั้นเท่ากับปฏิเสธว่ามรรคผลมีจริง พระอรหันต์มีอยู่จริง อันนี้เป็นกรรมหนักนะ แม้แนบเนียน ไม่ได้ต่อว่าพระอรหันต์ตรงๆ แต่ผลกระทบเทียบเท่าหรือมากกว่าปรามาสพระอรหันต์เสียอีก ๓ รู้จักตน คื

โลกมายาการ?

รูปภาพ
ในโลกทิพย์นั้น ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นได้ชัดครับ ทุกอย่างที่ปรากฎมีได้นั้น ล้วนมาจากเหตุ มาจากการสร้างบุญกรรมของพวกเขาทั้งนั้น ใครมีจิตใจดำมืด กายทิพย์ก็จะดำมืด ใครมีจิตใจสว่างไสว กายทิพย์ก็จะสว่างโพลงเลย ทว่า ในโลกมนุษย์นั้นกลับตรงข้าม เหมือนมายาการหลอกลวง ดังจะอธิบายต่อไปนี้ ๑ โล กที่แท้จริงซับซ้อนกว่าที่ตาเห็น “มือที่ตาเห็นว่าสะอาดนั้นมีแบคทีเรียมากมาย” สิ่งที่ตามนุษย์มองเห็นนั้นคือส่วนน้อย เหมือนน้ำแข็งส่วนที่โผล่เหนือน้ำ แต่สิ่งที่ตามนุษย์มองไม่เห็นมีมากมายเหมือนน้ำแข็งส่วนที่จมน้ำ โลกของเราซับซ้อนกว่าที่ตาเ ปล่าเราจะเห็นได้มากมายนัก และหลายคนที่ตัดสินอะไรจากที่ตาเห็นก็มักจะตัดสินผิด คนที่ดูร่ำรวยมากๆ อาจเป็นทาสชั้นต่ำของซาตานอยู่ คนที่ไม่ค่อยมีอะไรเลย อยู่ในโลกอย่างเรียบง่าย อาจได้ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ดังนั้น หลายคนที่ชอบตัดสินอะไรจากที่ตาเห็นก็มักตัดสินผิดเสมอ เราจะตัดสินอะไรจากที่เห็นด้วยตาเท่านั้นมิได้ ตรงข้าม เราจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบที่เชื่อถือได้ เช่น การตรวจเลือดดูเชื้อในกระแสเลือด ๒ โล กมักกลับตาลปัตรหลอกเรา “สิ่งที่ดูดีทางโลกมักไม่ดีทางธรรม สิ่

ฆราวาสจะเป็นพระแท้ได้อย่างไร?

รูปภาพ
ฆราวาสหลายคนหลงตัวเองคิดว่าปฏิบัติได้มากกว่าพระ แท้จริงแล้วไม่ใช่นะครับ หลายคนแค่มีความรู้มากก็แค่นั้นเอง และอีกหลายคนแค่ถูกพลังแฝงพลังครอบงำเท่านั้น ทำให้หลงตัวเองคิดว่าตนคือพระ ดังนั้น ในบทความนี้จะขออธิบายว่าฆราวาสจะสามารถปฏิบัติเหมือนพระได้อย่างไรโดยไม่ต้องบวช? ดังต่อไปนี้ ๑ สละทางโลก พระที่ท่านบวชตลอดชีวิตจริงๆ นั้นท่าน “เบื่อหน่ายทางโลก” แล้วจริงๆ ท่านไม่เอาอะไรกับทางโลกแล้ว แต่ฆราวาสหลายคนที่หลงว่าตัวเองสูงส่งเหมือนพระนั้น ยังไม่อิ่ม ยังไม่เบื่อหน่ายทางโลกจริงๆ ภาษาบาลีว่า “นิพพิทาญาณ” หมายความว่าญาณที่ทำให้เบื่อหน่ายทางโลกหรือเรื่องโลกๆ ครับ คือ มันเบื่อไ ปหมด ไม่อยากอะไรกับใครอีกแล้ว ใครจะมาอะไรๆ กับเราด้วยเราก็ไม่อยากอะไรด้วยอีกแล้ว ไม่ชอบพบปะอะไรกับใคร เบื่อจริงๆ เบื่อโลก เบื่อเรื่องโลกๆ ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, ความสุข ฯลฯ อะไรนั้น ไม่เอาแล้วจริงๆ นะครับ ฆราวาสหลายคนยังทำแบบนี้ไม่ได้ แต่หลงตัวเองคิดว่าตัวเองเทียบเท่าพระเพราะเห็นข่าวไม่ดีของพระครับ ๒ สละเพศ - ลูกเมีย หลายคนสละไม่ได้นะ จิตยังวนเวียนอยากมีคู่อยู่เสมอ อยากมีแฟนอยู่เสมอ แต่ “แอ๊บเก่ง” ใครจะแอ๊บได้เ

สิ่งหลอกล่อทางธรรม

รูปภาพ
สิ่งหลอกล่อทางโลกนั้นมีมากมายแล้ว หลายคนเลยหันเข้าสู่ทางธรรม ทว่า ในทางธรรมก็มีสิ่งหลอกล่อมากไม่ต่างกัน ทำให้ไม่สำเร็จธรรมได้ครับ หลายคนประมาทคิดว่าหนีทางโลกมาสู่ทางธรรมแล้วจะสบาย ไม่มีสิ่งใดมากวนใจ มาหลอกล่อให้เราหลงทางได้อีกแล้ว ไม่จริงนะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายดังต่อไปนี้ ๑ ลาภสักการะ ลาภสักการะนั้นเ ป็นของทางโลกจัดอยู่ใน “โลกธรรมแปด” คือ ได้ลาภ, เสื่อมลาภ, ได้ยศ, เสื่อมยศ, มีสุข, มีทุกข์, สรรเสริญ, นินทา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่อาจหลุดพ้นทางโลกได้จะต้องข้องอยู่ในโลกธรรมแปดนี้ ทว่า พวกเขาจะคิดไปเองว่าพวกเขาไม่ได้ลุ่มหลง พวกเขาแค่รับไว้เฉยๆ ไม่ได้อยากได้ ไม่มีเจตนาอยากได้แล้ว นี่คือความไม่มีสตินะ คนที่เขามีสติเขาจะตื่นแล้วไม่ “จมจ่อม” อยู่ในกองโลกธรรมแปดแบบนี้ ไม่นั่งแช่ให้ใครมาไหว้ มาสรรเสริญ มาให้ลาภยศ, เงินทอง ไม่มีนะ เขาตื่นแล้วปุ๊บ จะเหมือนนกที่โผบินออกจากกรง แล้วไม่ยอมกลับเข้ามาอีก ต่อให้เอาลาภสักการะมาหลอกล่อเท่าใดก็ตาม เพราะอะไร? เพราะเขาตื่นแล้วไงครับ    ๒ ความรู้ความฉลาด ความรู้ความฉลาดนั้นมิใช่ ปัญญา ตรงข้าม ผู้มีปัญญาอาจไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่จบอะไรเ