บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม 23, 2018

ความขยันแบบมนุษย์แท้จริงเป็นอย่างไร?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่อง “สัมมาวายามะ” ไปมากแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่ยอมรับความจริง ในบทความนี้จะขออธิบายในมุมที่เป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดาๆ บ้าง ไม่เน้นเรื่องธรรมะ เรื่องมรรคแปดมากนัก เพราะจะได้ไม่ต้องเอาชนะคะคานเรื่องธรรมะกันมากไป แต่ก็มีความจริงสอดคล้องกันอยู่ ดังต่อไปนี้ ๑ มีพื้นฐานบนเสรีภาพ คำว่า “มีเสรีภาพ” คือจะขยันหรือหยุดขยันก็ได้ ไม่ใช่ถูกโปรมแกรมมาให้ขยันโดนยาสั่งมาให้ขยันแบบหยุดไม่ได้ เข้าใจคำว่ามีเสรีภาพนะครับ ทีนี้ คนที่มีมิจฉาทิฐิไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะมองว่า “มนุษย์ขี้เกียจ” เมื่อเห็นมนุษย์เลิกทำงานหรือหยุดทำงาน เพราะเขาไม่ยอมรับว่ามนุษย์มีเสรีภาพที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ เขาก็จะหาวิธี “ล่อลวง” ให้มนุษย์ขยันเป็น “ทาสชั้นดี” สารพัดวิธี เช่น ใช้เงินเป็นตัวล่อ, ใช้การจ้างงาน, ใช้การสอนให้เชื่อในความขยันอย่างไร้เสรีภาพ ฯลฯ นี่คือ “แนวคิดระบบทุนนิยม” ที่มองมนุษย์ว่าเป็นแค่แรงงานที่ขี้เกียจ เราจะต้อง “หลุดพ้นจากกรงกรอบความคิดนี้” ให้ได้ก่อน เราจะเข้าใจ “ความขยันในแบบมนุษย์” แท้จริงได้ ๒ ความขยันที่พอดีแบบมนุษย์ เราอาจเอาความขยันของพระโพธิสัตว์ เช่น พระมหาชนก มา

เหตุที่ทำให้ไม่หลุดพ้น

รูปภาพ
“ความหลุดพ้น” เป็นสิ่งที่ศาสนาต่างๆ ต่างสอนตรงกัน ศาสนาพราหมณ์สอนเรื่องโมกษะคือความหลุดพ้น ศาสนาคริสตร์สอนเรื่องความรอดให้หลุดพ้นจากโลกนี้, ศาสนาพุทธสอนเรื่องนิพพานคือทางหลุดพ้นทุกข์ที่แท้จริง ฯลฯ เห็นไหมครับ ทุกศาสนาสอนเรื่องความหลุดพ้นเช่นกัน ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ ๑ เคลียร์หนี้บาปกรรมไม่หมด ข้อนี้สำคัญมาก “ต่อให้คุณฉลาดรู้หมดทุกอย่าง” แต่ชำระกรรมไม่หมด มันก็ไม่หมด รู้เยอะ รู้หมด ว่ามีหนี้เท่าไร แต่ไม่ได้ใช้ ชำระไม่หมด มันก็ไม่หมด จริงไหมครับ? ดังนั้น พุทธศาสนาจึ ง สอนให้เรา “ปฏิบัติ” ด้วย ไม่ใช่แค่ใช้สมองคิดเก่ง ไม่ใช่มีแต่ปริยัติ แต่มีครบปฏิบัติและปฏิเวธด้วย หลายคนกำลังหลงเพลินในโลก ที่ได้อะไรมากมาย คิดว่าตัวเองเก่ง, ฉลาด, เป็นคนดี ฯลฯ จึ ง ได้อะไรมากมายเช่นนั้น ทว่า นี่คือ ความหลง ที่ทำให้ประมาทครับ ต่อให้เราเก่ง, ฉลาด, ดี แล้วไง? ถ้าชำระบาปกรรมไม่หมด มันก็ไม่หมด มันก็ไม่หลุดพ้นได้ครับ ดังนั้น สู้คนโง่ๆ ที่ถูกหลอกให้ต้องทนชำระบาปกรรมไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่ได้เลย จริงไหมครับ ๒ ไม่ได้มีสมาธิที่จะเอาตัวรอดจริงๆ เรียกว่า “มัวแต่ส่งจิตออกนอก” มัวแต่ไ

ความจริงที่ชาวโลกยากจะยอมรับ

รูปภาพ
“ความจริงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก” แท้แล้วไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ใช่ศัพท์บาลีสูงส่งที่ต้องแปล ไม่ใช่คำเฉพาะในทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องนิยามอะไรเลย “ความจริงเป็นเรื่องพื้นๆ ง่ายๆ” เช่น คนเราทุกคนเกิดมาต้องตาย ทว่า คนเราก็ยังไม่ได้ตระหนักในความจริงเหล่านั้น ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมสักห้าข้อ ดังต่อไปนี้ ๑ โลกนี้พร้อมถูกทำลายล้างเสมอ ความจริงข้อนี้หลายท่านอาจทำใจยอมรับไม่ได้ แต่หากท่านเรียนรู้มาดี ท่านจะทราบว่าแผ่นดินที่ปกคลุมลูกไฟใต้โลกไว้นั้นมีความบางมากเมื่อเทียบกับชั้นเหล็กเหลวร้อน โลกนี้แท้จริงแล้วคือ “ลูกไฟ” แต่ถูกคลุมไว้ด้วยแผ่นเปลือกโลกที่ดับแล้วบางๆ เท่านั้น ดังนั้น ไม่แปลกที่โลกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดได้ง่าย เพราะมันบางมากนั่นเอง โลกนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการดำรงอยู่อย่างแท้จริง มันถูกสร้างมาเพื่อให้มนุษย์ชำระบาปตัวเอง และมนุษย์ก็จะมีอายุขัยไม่มาก เพราะการดำรงอยู่เป็นมนุษย์ในโลกนี้นั้นไม่ใช่ของที่จะอยู่นาน จะมีอายุขัยประมาณไม่เกินร้อยปี ดังนั้น มนุษย์จะมาครอบครองอะไรในโลกนี้เล่า? เสียเวลาไปโดยเปล่า แท้ๆ ๒ ระบบ อาชีพถูกสร้างโดยซาตาน อาชีพและระบบการจ้างงานถูกสร้างโดย

จุติจิตและการเคลื่อนสู่ภพภูมิใหม่

รูปภาพ
หลายท่านยังไม่เข้าใจเรื่องจุติจิตและปฏิสนธิจิตแม้พยายามอธิบายหลายครั้งแต่เพราะทิฐิดื้อรั้นมากเกินไปทำให้ไม่เข้าใจก็มี ทว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงที่เราตายลง หากเราไม่เข้าใจการเตรียมตัวพร้อมตายก็จะมีปัญหาได้ เช่น การหลงคิดว่าตายแล้วว่างเปล่าหายสูญ ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ๑ จุติจิตกับปฏิสนธิจิต อย่างแรกมาทำความเข้าใจเรื่องนี้เป็นพื้นฐานก่อนครับ เวลาคนเราตายนั้น ขันธ์ห้าจะแตกดับ ส่วนขันธ์ห้านี้ เราเอาไปด้วยไม่ได้ ทีนี้จะเหลือแต่ “จิต” ที่จะเคลื่อนออกจากภพภูมิเก่า, ขันธ์ห้าเก่า ขณะเคลื่อนออกนี้ จะเร็วมาก ความเร็วของจิตเหนือแสงทีเดียว มีขณะจิตเดียวเรียกว่า “จุติจิต” พริบตาเราก็ตายจากคนเดิม ตายจากขันธ์เดิมแล้ว จากนั้นจะปฏิสนธิใหม่ในภพภูมิใหม่ทันที นั่นคือ เกิดใหม่ทันที เรียกว่า “ปฏิสนธิจิต” พอเข้าใจนะครับ ทีนี้ มันมีสองแบบ แบบแรกคือ ปฏิสนธิใกล้ๆ ร่างที่ตาย แบบนี้จะต้องมีเทวทูตหรือยมทูตมารับตัวไปสู่ภพภูมิใหม่ แบบที่สองปฏิสนธิในภพภูมิใหม่เลย เช่น ไปเกิดบนสวรรค์เลย ไม่ต้องมีใครมารับ ๒ แบบจุติไ ปบนสวรรค์เลย ก็เหมือนเทพเทวดาบางองค์ที่อยู่ๆ เกิดในดอกบั

ขันธปรินิพพาน-จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป

รูปภาพ
เรื่องนิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาถกเถียงเพื่อเอาชนะคะคานกันแต่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจะปฏิบัติ ใครปฏิบัติได้ก็ได้ไปแม้เถียงใครไม่ชนะเขาก็ได้ไปอยู่ดี ส่วนใครที่ปฏิบัติไม่ได้ต่อให้เถียงชนะทุกคนก็ไม่ได้อยู่ดี ในบทความฉบับนี้จะขออธิบายไว้เพื่อเป็นปริยัติธรรมให้ผู้อ่านเกิดสัมมาทิฐิตรงทาง ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ขันธ์กับจิตเ ป็นธรรมต่างกัน อย่าเอามาปนกันนะครับ ขันธ์มีห้าเรียกว่าขันธ์ห้าได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ แต่จิตนั้นอยู่ในหมวดปรมัตถธรรมสี่ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน พระพุทธเจ้าจำแนกออกไว้ให้แล้วอย่างดี ก็อย่าเอามาปนกันตามอำเภอใจครับ ทีนี้ ขันธปรินิพพานนั้นเป็นเรื่องการนิพพานในส่วน “ขันธ์” ไม่ใช่ธาตุ ไม่ใช่พระธาตุนิพพานนะ นิพพานแต่ส่วนขันธ์เลยเรียกว่า “ขันธปรินิพพาน” ทีนี้ ขันธ์นั้น มีจิตมาครองอยู่ เมื่อนิพพานโดยรอบจิตก็เลยเรียกว่า “ปรินิพพาน” (ปริ มาจากคำว่า บริ แปลว่าโดยรอบ ) ดังนั้น เมื่อเรามีขันธปรินิพพานแล้ว จิตยังไม่ได้สูญหาย อย่าบอกว่าจิตดับหายสูญไปละ จะยังมีจุติจิตและปฏิสนธิจิตอยู่ ๒ นิพพานกับการเกิดคนละเรื่อง อย่างที่สองที่เราควรจะทราบคือ

เหตุแห่งการบำเพ็ญล้มเหลว

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่องเทพและมนุษย์มาแล้วว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? อีกทั้งยังกล่าวว่ามาจาก “คนดี” ผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ต่างกันเพียงผู้ที่สอบผ่านได้เป็นเทพ ผู้ที่สอบตกก็เป็นปีศาจไป เป็นต้น     ดังนี้ ในบทความนี้จะขออธิบายว่าสาเหตุใดผู้ปฏิบัติธรรมหลายท่านจึ ง สอบตกไม่สำเร็จเป็นเทพ ดังต่อไปนี้ ๑ เข้ากับระบบใครเขาไม่ได้ การดำรงอยู่ของสัตว์ในจักรวาลนั้นเป็นแบบสัตว์สังคม ไม่ใช่แบบพระปัจเจกพุทธเจ้าตัวใครตัวมัน ดังนั้น จะต้องมีระบบระเบียบในการอยู่ร่วมกันครับ ในทางพุทธเราเรียกว่า “ธรรมวินัย” ในคริสตร์เรียกว่า “การเข้ารีต” ทั้งสองอย่างนี้ก็เหมือนกันคือ การเข้าสู่ระบบของการดำรงอยู่ร่วมกัน เพียงแต่ต่างกลุ่มบุญกัน ก็เท่านั้นเอง คนเรานั้นต่อให้ดีเลิศแค่ไหน ทำบุญ ทำความดีท่วมฟ้า แต่ถ้าไม่ยอมใครเลย เข้ากับระบบใครเขาไม่ได้เลย ก็ไม่อาจเข้ารีต ไม่อาจเป็นเทพได้ เทพนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่เทพระดับล่างๆ ฤทธิ์ไม่ค่อยมี ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องมีบุญมาก ฤทธิ์เยอะกว่าใคร สิ่งสำคัญคือ “อยู่ในธรรมวินัย” ในกฏสวรรค์ได้หรือเปล่าครับ? ๒ ไม่เข้าสอบมัวแต่คิดไ ปเอง ข้อนี้พบในผู้บำเพ็ญธรรมจำนวน

จิตเทพ ๔ ขั้นเป็นไฉน?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายความหมายของ “มนุษย์” ที่แตกต่างกันและต่างจากเทพและปีศาจอย่างไรไปบ้างแล้ว ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องราวของเทพสวรรค์กันบ้าง เพราะมีความแตกต่างหลากหลายให้ได้เรียนรู้เช่นกัน เทพสวรรค์ที่จะกล่าวไว้ในบทความนี้จะเป็นเทพสวรรค์ที่พบได้ในโลกของเรานี้เท่านั้น ดังนี้ ๑ นิยามของเทพ ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายแล้วว่าเทพ, มาร และปีศาจนั้นมาจาก “ผู้บำเพ็ญบารมี” เช่นกัน ต่างกันตรงที่เทพคือผู้ที่สอบผ่าน “สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบสวรรค์ได้” เรียกว่า “อยู่ในรีต” ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทพ, มาร หรือปีศาจทั้งหมดล้วนเป็น “คนดี” เสมอ และเราไม่ควร “หลงคนดี” เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าคนดีนั้นคือ เทพ, มาร หรือปีศาจ เอาง่ายๆ ครับ คนดีที่ไม่อยู่ในระบบระเบียบ อยู่ในกรอบ ในธรรมวินัยของสวรรค์ไม่ได้ ก็คือ “ปีศาจ” ส่วนคนดีที่อยู่ในระบบ, ในรีตได้ดีมาก แต่ใช้เล่ห์เหลี่ยม อ้างกฏระเบียบเล่นงานคนอื่นได้แบบแนบเนียนและไม่ผิดอะไรเลยก็คือ “มาร” ส่วนเทพก็คือคนที่ทำตามหน้าที่ อยู่ในกรอบเท่านั้นไม่ยอมนอกรีต ๒ จิตเทพขั้นที่ หนึ่ง ได้แก่ เทพสวรรค์ชั้นที่ หนึ่ง จะประจำอยู่ภาคพื้นดินร่วมกับมนุษย์ครับ