เหตุแห่งการบำเพ็ญล้มเหลว




ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่องเทพและมนุษย์มาแล้วว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? อีกทั้งยังกล่าวว่ามาจาก “คนดี” ผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ต่างกันเพียงผู้ที่สอบผ่านได้เป็นเทพ ผู้ที่สอบตกก็เป็นปีศาจไป เป็นต้น   ดังนี้ ในบทความนี้จะขออธิบายว่าสาเหตุใดผู้ปฏิบัติธรรมหลายท่านจึสอบตกไม่สำเร็จเป็นเทพ ดังต่อไปนี้

เข้ากับระบบใครเขาไม่ได้
การดำรงอยู่ของสัตว์ในจักรวาลนั้นเป็นแบบสัตว์สังคม ไม่ใช่แบบพระปัจเจกพุทธเจ้าตัวใครตัวมัน ดังนั้น จะต้องมีระบบระเบียบในการอยู่ร่วมกันครับ ในทางพุทธเราเรียกว่า “ธรรมวินัย” ในคริสตร์เรียกว่า “การเข้ารีต” ทั้งสองอย่างนี้ก็เหมือนกันคือ การเข้าสู่ระบบของการดำรงอยู่ร่วมกัน เพียงแต่ต่างกลุ่มบุญกัน ก็เท่านั้นเอง คนเรานั้นต่อให้ดีเลิศแค่ไหน ทำบุญ ทำความดีท่วมฟ้า แต่ถ้าไม่ยอมใครเลย เข้ากับระบบใครเขาไม่ได้เลย ก็ไม่อาจเข้ารีต ไม่อาจเป็นเทพได้ เทพนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่เทพระดับล่างๆ ฤทธิ์ไม่ค่อยมี ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องมีบุญมาก ฤทธิ์เยอะกว่าใคร สิ่งสำคัญคือ “อยู่ในธรรมวินัย” ในกฏสวรรค์ได้หรือเปล่าครับ?

๒ ไม่เข้าสอบมัวแต่คิดไปเอง
ข้อนี้พบในผู้บำเพ็ญธรรมจำนวนมาก กล่าวคือ แทนที่จะเข้ารับการทดสอบว่าผ่านหรือไม่? เรามีปัญญาจริงหรือเปล่า? ก็ไม่ทำ กลับไปอุปทานเอาเอง คิดฝันไปเองว่าเราเก่ง เราดี เราถูกต้องแล้ว ฯลฯ นี่ละ ที่ทำให้คนสอบตก การบำเพ็ญทั้งหมดที่เหนื่อยยากมาไม่ว่านานเท่าไรก็กลายเป็นล้มเหลวครับ เพราะไม่ยอมเข้าสอบ ยังไม่ผ่านการทดสอบจากที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเลือกได้หลายที่ ถ้าเราเข้าสอบของคริสตร์แล้วผ่าน เราจะได้คริสตร์ แต่ถ้าเราเข้าสอบของพุทธผ่าน เราจะได้พุทธครับ สอบอะไรก็ได้สักอย่าง เอาให้ผ่านก่อน อย่ามาทำพูดดีว่า ไม่ยึดติดศาสนาอะไรให้มันเว่อร์ เพราะคุณอาจสอบไม่ผ่าน ปฏิบัติไม่ผ่านอยู่ก็ได้ แต่คิดหลงตัวเองไปเอง

๓ ไม่ยอมก้มจำนนต่อใครสักคนเลย
ทุกคนที่ปฏิบัติธรรมเมื่อถึงจุดหนึ่งจะมี “ผู้ดูแลระบบสวรรค์” แบบต่างๆ เข้ามาให้เลือกครับ เช่น พระอินทร์, องค์เง็กเซียน ฯลฯ พระสงฆ์ไทยบางรูป ปฏิบัติแล้วก็ได้พบท่านเหล่านี้มาหา จากนั้น ท่านจะทดสอบเพื่อดูว่า “เราจะอยู่กับเขาได้ไหม?” ถ้าเราไม่ก้มจำนน ไม่ยอมใครเลย ก็อยู่กับใครเขาไม่ได้ครับ แต่ถ้าเรายอมเขา และเขาก็รับเรา เอาเราด้วย เราก็จะมีรายชื่อในบัญชีของผู้ที่จะได้เกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ ครับ เขาจะทำไว้ให้เราก่อนที่เราจะตาย สำหรับคนที่มีบุญบารมีมาก จะเลือกได้ว่าจะไปที่ไหน เช่น พระอรหันต์ จะไม่อยู่สวรรค์ ก็ได้ เมื่อไม่อยู่ในระบบสวรรค์ก็จรร่อนเร่ไปเอง ดังนั้น อย่าทำเป็นอวดดีว่าตนนิพพานไม่เอาสวรรค์แล้วครับ

๔ ใจง่าย เชื่อคนทั่วไปหมด
คนเราไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมกับคนทุกคน คนที่ชวนเราไปทำชั่วเราต้องอ่อนน้อม คล้อยตามหรือเปล่า? ก็ไม่ จริงไหมครับ เห็นไหม การที่เราไม่ยอมจำนนต่อใครง่ายๆ ไม่ได้แปลว่าเราหยิ่งยะโสจนไม่ยอมจำนนต่อใครเลย เราอาจยอมต่อเง็กเซียนหรือองค์พุทธะ แล้วไม่ยอมจำนนต่อมนุษย์โลกคนไหนเลยก็ได้ เพราะเราได้เลือกแล้วว่าจะไปที่นั่น หากท่านยอมรับเรา เราก็จะได้ไป แต่ถ้าไม่เอาเพราะบุญบารมีเรายังไม่ได้ ก็ต้องบำเพ็ญบารมีอยู่บนโลกต่อไปจนกว่าบารมีจะได้ แล้วท่านก็จะมารับครับ คนที่ใจง่าย เชื่อคนทั่วไปหมดนั้น มีความเสี่ยงที่จะพลาดไม่ได้ไปสู่สวรรค์ที่ควรไป เพราะใจง่ายก็จะถูกล่อลวงง่ายเวลาละสังขารจากโลกครับ

๕ ชำระสะสางตัวเองไม่หมด มัวแต่หลงบุญ
คนเราจะหลุดพ้นจากโลกได้ ก็ต้องชำระสะสางตัวเองให้หมดก่อน ชาวพุทธต้องรับกรรมของตนให้หมดก่อน ชาวคริสตร์ก็ชำระบาปให้หมดก่อน อันนี้ไม่ต่างกัน สำหรับคนที่บำเพ็ญล้มเหลวสาเหตุส่วนใหญ่อีกประการมาจาก “มัวหลงเพลินเสวยบุญ” แล้วชำระกรรมตัวเองไม่หมด เมื่อไม่หมด ตายลงต้องอยู่ชำระสะสางต่อไป ง่ายๆ ตรงไปตรงมานะ แต่คนเราไม่ตรงไปตรงมา มักถูกความโลภครอบงำแล้วเข้าข้างตัวเองว่าฉันจะได้แน่ ที่ไหนได้ สุดท้ายอาจไม่ได้ก็ได้ครับหาก “ประมาท” คนที่มีปัญญาจริงจะไม่หลงโลก ไม่หลงการเสวยบุญในโลก เขาจะตื่นแจ้งอย่างแท้จริงแล้วไม่ประมาท รีบชำระชดใช้กรรมของตัวเองให้หมดๆ เพื่อจะหลุดพ้นครับ

“ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” คือ คำสอนสุดท้ายของพระสมณโคดม!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?