ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม




หลายท่านชอบอ้างหลักการ, ทฤษฎี, หลักธรรมต่างๆ ทว่า การอ้างอิงหลักธรรมเหล่านี้มิได้แสดงว่าท่านมีปัญญาอันใดเลย ปัญญาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การแก้ปัญหาได้จริงที่เรียกว่า “ปฏิเวธ” ต่างหาก เฉกเช่น ท่านอิกคิวซัง นี่คือ ตัวอย่างของผู้ใช้ปัญญาที่แท้จริง ในบทความนี้ขออธิบายเรื่องการใช้ปัญญาที่แท้จริง ดังต่อไปนี้

เลิกพล่ามหลักธรรม
ผู้มีปัญญาที่แท้จริงจะไม่พล่ามหลักธรรม แต่จะสามารถใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ดังเช่น ท่านอิกคิวซัง ไม่เคยมีว่าท่านอิกคิวซังจะแสดงธรรมในเชิงปรัชญาว่าธรรมะคืออะไร อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่มี มีแต่ท่านอิกคิวซังใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริง นี่แหละคือผู้มีปัญญาที่แท้จริง อย่ามั่วพล่ามธรรมะอวดเบ่งแข่งกันไปวันๆ เลยครับ วนอยู่แต่ในหลักการ, หลักธรรมทั้งนั้น แต่ชีวิตจริงใช้การไม่ได้ ไม่มีปัญญาจะแก้ไขปัญหาให้ใคร ปัญหาสังคม ปัญหาของชาติบ้านเมืองก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร แบบนี้ใช้ไม่ได้ครับ เป็นได้แค่พวก “สิบแปดมงกุฎ” เอาธรรมะมาพล่ามหลอกผู้คน ทว่า ไม่มีปัญาจะช่วยอะไรใครได้จริงครับ
                                                                                                                    
แน่จริงใช้ปัญญาช่วยคนสิ
ใช้ปัญญาช่วยคน, ช่วยสังคม, ช่วยชาติ, ช่วยโลก ฯลฯ เพื่อทดสอบว่าปัญญาของเราเป็นปัญญาแท้ ใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่หลักการ, ความรู้, ความจำ, ความเข้าใจ หรือแค่ปรัชญาแบบ “เสือกระดาษ” เอาแต่ดี เอาแต่เก่งในกระดาษ เขียนด่ากันไปมาวันๆ เท่านั้นเอง ทว่า กลับใช้ปัญญาแก้ปัญหาบ้านเมืองหรือช่วยเหลือคนอะไรไม่ได้จริง เราต้องพิสูจน์ครับ ทดสอบดูว่าปัญญาที่เกิดนั้น “จริงหรือเปล่า?” ใช่ปัญญาจริงๆ ไหม หรือว่าเราหลงคิดไปเองว่าเราคือผู้มีปัญญา ทว่า เรากลับมีแค่ความคิด, ความจำ, ความเข้าใจ แต่ปัญญากลับไม่มี ยังไม่เกิดเลย? ทุกอย่างต้องทดสอบครับว่าใช้ได้จริงไหม ไม่ใช่เอาแต่ด่าแข่งกันแล้วหลงว่ามีธรรมแล้ว

๓ มีปัญญาทำให้ชีวิตเจริญ
ไม่ใช่เรื่องทำบุญชาตินี้ หวังผลชาติหน้า แต่ว่าพิสูจน์ได้จริง เห็นผลจริง “ปัจจุบัน” นี้เลยครับ อย่ามัวหลงแต่สิ่งที่ต้องรอชาติหน้าแถมไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้จริงอย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราจะต้องพิสูจน์ต้องทดสอบดูว่าปัญญาที่เราคิดว่าเรามีนั้น มันของจริงไหม? ใช้ได้จริงไหม? ด้วยการใช้จริง ในชีวิตจริง เช่น ในการทำงานนี้ เราใช้ปัญญาของเราแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้จริงไหม? ได้ผลไหม? ก่อนปฏิบัติธรรม ยังไม่ค่อยมีปัญญา หลังปฏิบัติสำเร็จแล้วมีปัญญา ใช้แก้ปัญหาชีวิตได้จริงหรือเปล่า? ไม่ใช่วันๆ เอาแต่พล่ามเพ้อพรรณาว่าไม่อะไรกะอะไรทั้งนั้น, ทุกอย่างว่างเปล่า, ไม่เอาอะไรอีกแล้ว ฯลฯ มันเหมือนคนบ้า ที่เพ้ออะไรอยู่ทั้งวันก็ไม่รู้ครับ

ต้องมีพลวัตรกับบริบท
หมายความว่า มันต้องตอบโต้, ตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมตามสถานการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว อะไรก็อ้าง “ปล่อยวางๆ” พูดได้แค่นี้ก็ไม่ต้องพูดครับ ไม่ต้องเป็นมนุษย์ อัดเทปไว้ เวลามีอะไรก็เปิดฟัง เทปมันก็พูดได้ครับ ไม่เอาอะไรอีกแล้ว, ปล่อยวาง, ไม่อะไรกับอะไรทั้งนั้น, ทุกอย่างว่างเปล่า, ไม่มีอะไรในอะไร ฯลฯ ให้เทปมันพล่ามไป ผู้มีปัญญาจริงๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกลงโปรแกรมให้พูดวนซ้ำแต่หลักการเดิมๆ แบบนี้ครับ แต่สามารถพลิกแพลงใช้ ประยุกต์ใช้ ได้อย่างมีพลวัตร ตอบโต้, สนองตอบต่อแต่ละสถานการณ์ได้อย่างดี เหมือนกุนซือผู้มีปัญญา ย่อมตอบโต้กันในสนามรบได้จริงพิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่เสือกระดาษเก่งแต่ในเฟสครับ

เวลาผ่านเลยไป ทำอะไรกันอยู่?
บางคนปฏิบัติธรรมมานาน ห้าปี สิบปี ยังไม่ไปไหนเลยยังจมปลักวนอยู่แต่ไอ้หลักธรรมเดิมๆ หลักการเดิมๆ “เวลาในชีวิตเราน้อยลงทุกวัน” เหมือนเทียนที่ถูกเผาไหม้ก็ละลายลดลงไปเรื่อยๆ ฉันนั้น แล้วเรามัวทำอะไรกันอยู่? คนตายแล้วหลายคนได้เห็นอีกโลก ได้รับรู้ว่าการเป็นมนุษย์ทำอะไรได้บ้าง? มากมาย พวกเขาล้วนเสียดายและอยากมีชีวิตกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง ทว่า เวลาไม่หวนคืน ไม่มีใครหวนกลับมาเป็นคนเดิมได้ เมื่อนั้นก็จะอยากย้อนเวลากลับมา เพราะไม่รู้จักคิดว่าปัจจุบันเราควรทำอะไร? เมื่อไม่มีปัญญารู้ว่าควรทำสิ่งใดในปัจจุบัน เวลาล่วงเลยผ่านไปก็อยากย้อนกลับมาแก้ไขมัน เท่านั้นเอง ทว่า กลับไม่อาจทำได้อีกแล้ว

อย่ามัวเสียเวลาเถียงกันเรื่องหลักการ, หลักธรรมอะไรอีกเลยครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

วิชามารคืออะไร?