ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม
หลายท่านชอบอ้างหลักการ, ทฤษฎี, หลักธรรมต่างๆ
ทว่า การอ้างอิงหลักธรรมเหล่านี้มิได้แสดงว่าท่านมีปัญญาอันใดเลย
ปัญญาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การแก้ปัญหาได้จริงที่เรียกว่า “ปฏิเวธ” ต่างหาก
เฉกเช่น ท่านอิกคิวซัง นี่คือ ตัวอย่างของผู้ใช้ปัญญาที่แท้จริง ในบทความนี้ขออธิบายเรื่องการใช้ปัญญาที่แท้จริง
ดังต่อไปนี้
๑ เลิกพล่ามหลักธรรม
ผู้มีปัญญาที่แท้จริงจะไม่พล่ามหลักธรรม
แต่จะสามารถใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ดังเช่น ท่านอิกคิวซัง
ไม่เคยมีว่าท่านอิกคิวซังจะแสดงธรรมในเชิงปรัชญาว่าธรรมะคืออะไร อย่างนั้นอย่างนี้
ก็ไม่มี มีแต่ท่านอิกคิวซังใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริง
นี่แหละคือผู้มีปัญญาที่แท้จริง อย่ามั่วพล่ามธรรมะอวดเบ่งแข่งกันไปวันๆ เลยครับ
วนอยู่แต่ในหลักการ, หลักธรรมทั้งนั้น แต่ชีวิตจริงใช้การไม่ได้
ไม่มีปัญญาจะแก้ไขปัญหาให้ใคร ปัญหาสังคม
ปัญหาของชาติบ้านเมืองก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร แบบนี้ใช้ไม่ได้ครับ เป็นได้แค่พวก
“สิบแปดมงกุฎ” เอาธรรมะมาพล่ามหลอกผู้คน ทว่า ไม่มีปัญญาจะช่วยอะไรใครได้จริงครับ
๒ แน่จริงใช้ปัญญาช่วยคนสิ
ใช้ปัญญาช่วยคน,
ช่วยสังคม, ช่วยชาติ, ช่วยโลก ฯลฯ เพื่อทดสอบว่าปัญญาของเราเป็นปัญญาแท้
ใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่หลักการ, ความรู้, ความจำ, ความเข้าใจ หรือแค่ปรัชญาแบบ
“เสือกระดาษ” เอาแต่ดี เอาแต่เก่งในกระดาษ เขียนด่ากันไปมาวันๆ เท่านั้นเอง ทว่า
กลับใช้ปัญญาแก้ปัญหาบ้านเมืองหรือช่วยเหลือคนอะไรไม่ได้จริง เราต้องพิสูจน์ครับ
ทดสอบดูว่าปัญญาที่เกิดนั้น “จริงหรือเปล่า?” ใช่ปัญญาจริงๆ ไหม
หรือว่าเราหลงคิดไปเองว่าเราคือผู้มีปัญญา ทว่า เรากลับมีแค่ความคิด, ความจำ,
ความเข้าใจ แต่ปัญญากลับไม่มี ยังไม่เกิดเลย? ทุกอย่างต้องทดสอบครับว่าใช้ได้จริงไหม
ไม่ใช่เอาแต่ด่าแข่งกันแล้วหลงว่ามีธรรมแล้ว
๓ มีปัญญาทำให้ชีวิตเจริญ
ไม่ใช่เรื่องทำบุญชาตินี้
หวังผลชาติหน้า แต่ว่าพิสูจน์ได้จริง เห็นผลจริง “ปัจจุบัน” นี้เลยครับ อย่ามัวหลงแต่สิ่งที่ต้องรอชาติหน้าแถมไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้จริงอย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้
เราจะต้องพิสูจน์ต้องทดสอบดูว่าปัญญาที่เราคิดว่าเรามีนั้น มันของจริงไหม?
ใช้ได้จริงไหม? ด้วยการใช้จริง ในชีวิตจริง เช่น ในการทำงานนี้
เราใช้ปัญญาของเราแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้จริงไหม? ได้ผลไหม? ก่อนปฏิบัติธรรม
ยังไม่ค่อยมีปัญญา หลังปฏิบัติสำเร็จแล้วมีปัญญา
ใช้แก้ปัญหาชีวิตได้จริงหรือเปล่า? ไม่ใช่วันๆ
เอาแต่พล่ามเพ้อพรรณาว่าไม่อะไรกะอะไรทั้งนั้น, ทุกอย่างว่างเปล่า,
ไม่เอาอะไรอีกแล้ว ฯลฯ มันเหมือนคนบ้า ที่เพ้ออะไรอยู่ทั้งวันก็ไม่รู้ครับ
๔ ต้องมีพลวัตรกับบริบท
หมายความว่า
มันต้องตอบโต้, ตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมตามสถานการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว
อะไรก็อ้าง “ปล่อยวางๆ” พูดได้แค่นี้ก็ไม่ต้องพูดครับ ไม่ต้องเป็นมนุษย์ อัดเทปไว้
เวลามีอะไรก็เปิดฟัง เทปมันก็พูดได้ครับ ไม่เอาอะไรอีกแล้ว, ปล่อยวาง,
ไม่อะไรกับอะไรทั้งนั้น, ทุกอย่างว่างเปล่า, ไม่มีอะไรในอะไร ฯลฯ ให้เทปมันพล่ามไป
ผู้มีปัญญาจริงๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ถูกลงโปรแกรมให้พูดวนซ้ำแต่หลักการเดิมๆ
แบบนี้ครับ แต่สามารถพลิกแพลงใช้ ประยุกต์ใช้ ได้อย่างมีพลวัตร ตอบโต้,
สนองตอบต่อแต่ละสถานการณ์ได้อย่างดี เหมือนกุนซือผู้มีปัญญา
ย่อมตอบโต้กันในสนามรบได้จริงพิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่เสือกระดาษเก่งแต่ในเฟสครับ
๕ เวลาผ่านเลยไป
ทำอะไรกันอยู่?
บางคนปฏิบัติธรรมมานาน
ห้าปี สิบปี ยังไม่ไปไหนเลยยังจมปลักวนอยู่แต่ไอ้หลักธรรมเดิมๆ หลักการเดิมๆ
“เวลาในชีวิตเราน้อยลงทุกวัน” เหมือนเทียนที่ถูกเผาไหม้ก็ละลายลดลงไปเรื่อยๆ
ฉันนั้น แล้วเรามัวทำอะไรกันอยู่? คนตายแล้วหลายคนได้เห็นอีกโลก
ได้รับรู้ว่าการเป็นมนุษย์ทำอะไรได้บ้าง? มากมาย
พวกเขาล้วนเสียดายและอยากมีชีวิตกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง ทว่า เวลาไม่หวนคืน
ไม่มีใครหวนกลับมาเป็นคนเดิมได้ เมื่อนั้นก็จะอยากย้อนเวลากลับมา
เพราะไม่รู้จักคิดว่าปัจจุบันเราควรทำอะไร?
เมื่อไม่มีปัญญารู้ว่าควรทำสิ่งใดในปัจจุบัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปก็อยากย้อนกลับมาแก้ไขมัน เท่านั้นเอง ทว่า
กลับไม่อาจทำได้อีกแล้ว
อย่ามัวเสียเวลาเถียงกันเรื่องหลักการ,
หลักธรรมอะไรอีกเลยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น