บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม 9, 2018

พระพุทธเจ้าไม่ได้จะมาอยู่บนโลก?

รูปภาพ
หลายคนคิดว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์ในโลก สร้างโลกให้สวยงามเหมือนดั่งคำทำนายในยุคพระศรีอาร์ฯ อะไรทำนองนั้น ทว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้มีหน้าที่สร้างโลกครับ หน้าที่สร้างโลกอาจเป็นของเทพ อาทิ พระพรหม แต่ไม่ใช่หน้าที่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้มาเพื่อสร้างโลก ดังจะอธิบายต่อไปนี้ครับ ๑ โลกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ ไม่ใช่บ้านแท้จริง? ในบทความก่อนๆ ได้บอกแล้วว่าโลกนี้มิใช่บ้านที่แท้จริง โลกนี้ถูกสร้างเพื่อ “การชำระ” เราทุกคนลงมาเกิดในโลกนี้เพื่อ “ชำระสะสางตัวเราเอง” เมื่อเราได้รับการชำระแล้ว เราก็พร้อมที่จะกลับคืนสู่บ้านที่แท้จริงของเรา ถามว่าเชื่อได้แค่ไหน? ก็ลองดูเอาครับว่าโลกนี้แปรปรวนแค่ไหน? ขนาดที่หลายคนคิดว่าโลกจะแตกคือ “วันสิ้นโลก” กำลังมาด้วยซ้ำไป นี่ไงครับ ประจักษ์พยานที่ทุกคนก็รับรู้ได้ว่าโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่อาจอยู่ได้นาน ไม่ใช่บ้านที่เราจะอยู่ได้อย่างแท้จริงตลอดไป ดังนั้น ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดจะมาสร้างโลกนี้เพื่อให้อยู่ร่วมยุคกันอย่างมีความสุขหรอก คุณต้องเข้าใจใหม่ พระพุทธเจ้ามิได้จะมาเพื่ออยู่ในโลกนี้ที่ไม่ใช่บ้านแท้จริง ๒ พระพุทธเจ้ามาโ ปรดในโลกนี้คือ? คำถามต่อมาคือ

ธรรมทั้งหลายล้วนบริบูรณ์ในระดับนิพพาน

รูปภาพ
    ทุกท่านคงเข้าใจดีแล้วว่านิพพานนั้นไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือดับแต่อย่างใด เป็นสัจธรรมเดิมแท้ก่อนที่เราจะหลงว่ามีตัวตน, มีการเกิดดับ ฯลฯ สัจธรรมทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น คือ ไม่เกี่ยวกับการเกิดดับ เพราะมันไม่ใช่ตัวตนของตนแต่แรกแล้ว ในบทความฉบับนี้จะอธิบาย ถึง ความบริบูรณ์ของธรรมระดับนิพพาน ดังต่อไปนี้ ๑ ธรรมในระดับนิพพานคืออะไร? ก่อนอื่นจะขออธิบายคำว่าธรรมในระดับนิพพานก่อนนะครับ กล่าวคือ สัจธรรมความจริงนั้นมีหลายแง่มุม หลายเรื่อง แล้วแต่เราจะมองและหยิบยกมาพิจารณา ไม่ใช่เอะอะอะไรก็นิพพาน หรือความว่างอย่างเดียว ถามว่าถ้าเราไม่พูดเรื่องนิพพานแล้ว ธรรมอื่นๆ ไร้ค่าเลยหรือ? ไม่จริงครับ ธรรมทั้งมวลล้วนอนัตตา แม้แต่นิพพานก็อนัตตา ถ้าเราไปหลงให้ค่าให้ความหมายมากเกินไป เราก็จะเสีย “ความบริบูรณ์ของธรรม” ครับ คำว่าความบริบูรณ์ของธรรมคืออะไร? คือ เราไม่ได้หลงแค่นิพพาน แต่เข้าใจสรรพสิ่งทั้งมวล ธรรมทั้งหลาย ว่ามีลักษณะเดียวกันคือ อนิจจัง อนัตตา และธรรมทั้งมวลเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากนิพพานเลยในระดับเดียวกัน ๒ สัจธรรมทั้งหลายล้วนไม่เกิดไม่ดับ ดังนั้น ย่อมมีระดับเดียวกับนิพพาน เหตุนี้ “ธรรมใน

คริสตัลกับการหมดพาสชั่น

รูปภาพ
คนรุ่นใหม่จะ “ออกหาพาสชั่นใหม่ๆ” เคยได้ยินไหมครับ? คำว่าพาสชั่นก็คือความต้องการนั่นแหละ ทว่า ทำไมพวกเขาต้องออกหาความต้องการใหม่ๆ ในขณะที่คนรุ่นเก่าคิดว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด? บทความนี้จะขออธิบาย “สภาวะหมดพาสชั่นที่เกิด ขึ้น ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า พวกคริสตัล” ดังต่อไปนี้ครับ ๑ รู้จักพวกคริสตัลกันเถอะ ในบทความก่อนๆ ได้เคยอธิบายแล้วว่าจักรวาลสร้างมนุษย์ในแต่ละรุ่นมาต่างกัน เจนเนอเรชั่นเอ็กซ์กับวายก็ไม่เหมือนกัน ในเจนเนอเรชั่นวายที่เป็นวัยรุ่นอยู่ขณะนี้แตกต่างกันไปอีก เรียกว่า อินดิโก้, คริสตัล, เรนโบว์ คืออะไร? อินดิโก้คือพวกต่างดาว พวกนี้จะหลุดโลกไม่ค่อยสนใจโลกและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องมีใครสอน, พวกคริสตัลคือพวกที่มาจากมิติสูงๆ จิตใจจะใสเหมือนแก้ว มีกิเลสน้อยหมดความต้องการอะไรในโลกได้ง่าย, พวกเรนโบว์คือพวกที่มีกายแสงสว่างเหมือนรุ้ง พวกเขาจะนิยมความหลากหลายเหมือนสีรุ้ง ในบทความนี้จะโฟกัสที่ “กลุ่มเด็กคริสตัล” ที่มีจิตใจใสซื่อ ใสมากเหมือนแก้วและหมดกิเลสได้ง่ายมากครับ ๒ ภาวะการหมด “พาสชั่น” คนรุ่นก่อนจะไม่เป็นและไม่เข้าใจ แต่คนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นวายจะ

ถ้าบังคับให้คุณปฏิบัติได้จะทำดังนี้

รูปภาพ
บทความนี้เขียนจากการสมมุตินะครับ สมมุติว่าถ้าผู้เขียนบังคับทุกคนได้เต็มที่ ผู้เขียนจะบังคับให้ทุกคนปฏิบัติตัว ปฏิบัติธรรมอย่างไร? อย่างแรกต้องบอกว่าผู้เขียนปรารถนาดีต่อทุกท่าน แต่ไม่อาจบังคับให้คนทำสิ่งที่ดีได้ ดังนั้น บทความนี้เป็นเพียงการสมมุติสิ่งดีงามที่ผู้เขียนหวังจะให้เกิด ขึ้น นั่นเอง ดังต่อไปนี้ครับ ๑ เริ่มต้นใช้ชีวิตให้เ ป็น “ปกติศีล” คำว่าปกติศีลในที่นี้ หมายความว่าให้เรา ละเว้นสิ่งที่ไม่ควรกระทำจนเป็นเรื่องปกติครับ เช่น มนุษย์เราจะไม่ทำอะไรเกินขอบเขต เกินตัว เช่น หวังอยากได้คู่แบบในหนัง แบบนี้ไม่ใช่แล้ว ในหนังนั้นเขาแต่งตามงานวรรณกรรมโบราณที่พระเอกคือคนพิเศษ ไม่ใช่มนุษย์ปกตินะ เหมือนเป็นเทพมาเกิด ความรักก็จะพิเศษไปกว่ามนุษย์ธรรมดาครับ เราจะไปเอาอย่างหนังไม่ได้ คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ แค่มีครอบครัวอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกันเหมือนเพื่อนมนุษย์อิงอาศัยกันได้ก็พอแล้ว ในความเป็นมนุษย์นี้ จะมีจิตสำ นึก อยู่เสมอว่าเราคือมนุษย์ เราไม่ใช่อะไรที่เกินขอบเขตที่เราจะทำได้ อะไรที่เกินไปเราจะไม่ทำ ละเว้นจนเป็นปกติศีลครับ ๒ ใช้การทำงานเ ป็นการปฏิบัติธรรม เมื่อเราปฏิบัติขั้น

จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป

รูปภาพ
หลายท่านเชื่อว่า “เรามีจิตดวงเดียว และจิตดวงนั้นคือเราเที่ยงแท้แน่นอน” ทว่า ความคิดเช่นนี้กลายเป็นแนวคิดของลัทธิอาตมันที่เชื่อว่ามีตัวเราที่แท้จริงคือจิตวิญญาณครับ แท้แล้ว ความหมายของคำว่าจิตดวงเดียวท่องเที่ยวไปแท้จริงคืออะไร? ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจตรงกันใหม่ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ เอกะจะรัง จิตตัง หมายความว่าอะไร? วลีนี้ปรากฏในพระไตรปิฎกแปลว่า “จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป” ทว่า มีหลายท่านเข้าใจผิดมาก ความหมายคืออย่างนี้ครับ จิตดวงเดียวเท่านั้นที่ท่องเที่ยวไป มิได้เอา “ขันธ์ห้า” ไปเที่ยวด้วย หรือก็คือ ขันธ์ห้าแตกดับไปเรื่อยๆ จากตัวตนสมมุติตัวตนแรก ไปสู่ตัวตนที่สอง, สาม, สี่ ฯลฯ มีแต่จิตเท่านั้น จิตดวงเดียวที่ท่องเที่ยวไป เข้าใจไหมครับ? มันไม่ได้แปลว่าเรามีจิตแค่ดวงเดียว หรือในกายสังขารของเราจะมีจิตดวงเดียวเท่านั้น ในกายสังขารของเราอาจมีจิตวิญญาณมากมายก็ได้ แต่เมื่อเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จะมีแค่ “จิตดวงเดียว” ที่ท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีขันธ์ห้าไปด้วย จิตวิญญาณอื่นๆ ก็แยกไปตามทางใครทางมัน ๒ กายสังขารมีจิตวิญญาณดวงเดียว? อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเช่นนั้

ปัญหาที่พบจากการยกระดับ

รูปภาพ
เมื่อจิตของคุณยกระดับสูง ขึ้น คุณอาจพบปัญหาบางอย่างทำให้เกิดความลังเลสงสัยในการปฏิบัติได้ ในบทความนี้ จะขออธิบาย ถึง ปัญหาที่พบได้จากการยกระดับจิตวิญญาณ ซึ่ง ไม่ใช่ปัญหาทางธรรม เป็นแค่ปัญหาทางโลก เรื่องโลกๆ เท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงแต่อย่างใด จะได้หมดความกังวล ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ปัญหาทางโลกกับปัญหาทางธรรม บางท่านมีปัญหาทางโลกยังไม่เคยได้รับปัญหาทางธรรม ส่วนบางท่านมีปัญหาทางธรรม หาใช่ปัญหาทางโลกไม่ ปัญหาทางโลกกับปัญหาทางธรรมย่อมต่างกันดังตัวอย่างนี้ ปัญหาทางโลกนั้น เราๆ ท่านๆ ก็ทราบกันดีอยู่ แต่ปัญหาทางธรรมละ? หลายท่านอาจยังไม่ทราบ เช่น เมื่อปฏิบัติธรรมสูงมากแล้ว จิตของเราจะมีความวิเวกมาก จะไม่ค่อยสุงสิงกับใครมาก ชาวโลกอาจมองว่าเราไม่เข้าสังคมเป็นคนเก็บตัว อันนี้ เรียกว่า “ปัญหาทางโลก” ซึ่ง ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงนะ มันเป็นแค่มายาการของความไม่เข้าใจของชาวโลกเท่านั้น แต่ปัญหาทางธรรมคือ เราจะผ่านด่าน “ติดฌาน” ไปได้ไหม นี่ต่างหากเรียกว่าปัญหาทางธรรม ซึ่ง แตกต่างกัน ๒ ปัญหาจากการยกระดับจิต การยกระดับจิตวิญญาณนั้นอาจทำให้คุณพบปัญหาบางอย่างได้ ทว่า นี่ไม่ควรเป็นสาเหตุให

ชีวิตและความตายในมิติที่ห้า

รูปภาพ
ความหมายของ “ชีวิตและความตาย” หลายท่านอาจได้รับรู้มาในระดับมิติที่สามกันบ้างแล้ว ในบทความนี้จะขอเสนอมุมมองของชีวิตและความตายในมุมมองของมิติที่ห้ากันบ้าง เพราะมีความแตกต่างกันและเราจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันครับ ผู้เขียนขอเรียบเรียงจากประสบการณ์ตนเอง ดังต่อไปนี้ ๑ ชีวิตและความตายในมิติที่สาม หลายท่านถูก “สังคมหล่อหลอมมาให้เชื่อ” ว่าชีวิตคือตัวตนของเราที่ยังหายใจอยู่นี้ และความตายคือสิ่งที่ทำลายชีวิตเราลง ทำให้กายนี้ ตัวตนนี้แตกดับไป ใช่ไหมครับ ทว่า นั่นคือ สิ่งที่เราถูกสอนมาให้รับรู้ว่าเป็นเช่นนั้น “ในระดับมิติที่สาม” เท่านั้นเองครับ หมายความว่าอะไร? หมายความว่าในระดับมิติที่สี่และห้านั้น มีเรื่องราวของชีวิตและความตายที่แตกต่างไปจากมิติที่สามนั่นเอง สิ่งที่เราถูกสอนให้เชื่อมาโดยตลอดนั้น ในมิติที่สามจะถือเอา “ตัวตนที่สัมผัสจับต้องได้” นี้คือ “รูปธรรมของชีวิต” แต่เราจะไม่รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีตัวตนที่สัมผัสจับต้องได้ละ มีอยู่ไหม? จริงมั้ยครับ ดังนั้น ความรู้ในเรื่องชีวิตและความตายของเราจึ ง เป็นเช่นนั้น ๒ ความตายในมิติที่ห้า ความตายในมิติที่สามนั้นนับจาก “