บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม 28, 2018

จงใช้สมมุติดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อุปมาว่าธรรมะเหมือนนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ หาใช่ดวงจันทร์ไม่ ธรรมะมิใช่สัจธรรม แต่เพื่อชี้แนะปวงสัตว์ให้เห็นดวงจันทร์จำต้องมีธรรมะ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องสมมุติต่างๆ ที่แท้แล้วก็เป็นดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์อยู่แล้วเช่นกัน เพียงแต่ไร้คำอธิบายของศาสดา แต่เราสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้     ๑ สมมุติธรรมล้วนมีสัจธรรมเ ป็นแก่นแท้? สมมุติธรรมทุกอย่างล้วนมีสัจธรรมเป็นแก่นแท้อยู่ภายในทั้งสิ้น ( มีเปลือกย่อมมีแก่น มีแก่นย่อมมีเปลือก ) เป็นธรรมดา ทว่า สัตว์ทั้งหลายไม่มีญาณหยั่งรู้ขั้นสูง ไม่มีสติปัญญาดีอย่างพระพุทธเจ้า จะอาศัยสมมุติเหล่านี้แล้วตรัสรู้เอง “คงหามิได้” ดังนั้น ธรรมะของพระศาสดาจำต้องมี เพื่อมาโปรดสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีความสามารถดังเช่นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทว่า แท้แล้วสมมุติธรรมทั้งหลายก็ล้วนเป็นดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ สำหรับผู้ที่มีกำลังในการตรัสรู้ทั้งสิ้น เช่นนี้ จึ ง กล่าวได้ว่าสมมุติธรรมทั้งหลายล้วนเป็นดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ ทว่า สำหรับสาวกยานแล้วไม่อาจตรัสรู้เองได้ จำต้องอาศัยพระธรรมจากพระศาสดา จึ ง พอจะบรรลุได้ ๒ ทุกคนมีศักยภาพในการบรรลุพุทธะ?

อนัตตาในความเข้าใจที่ผิด

รูปภาพ
หลายท่านมักคิดว่าเข้าใจความหมายของอนัตตาได้ดี ทว่า ก็ยังมีหลายท่านเข้าใจผิดอยู่ เพราะสัจธรรมนั้นไม่อาจอธิบายแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใดได้ สิ่งที่ได้รับรู้มาย่อมเป็นเพียงความเข้าใจจากการมองจากภายนอกและ การรับรู้เท่านั้น นั่นไม่ใช่การเข้า ถึง และเป็น หนึ่ง เดียวกับอนัตตา ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ อนัตตาแบบนิรัตตา ความเข้าใจผิดอย่างแรกนี้เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยและผู้เขียนได้อธิบายไว้หลายบทความแล้ว สรุปคือ เขาเข้าใจผิดคิดว่าอนัตตาคือ “ความไม่มีตัวตน” แท้จริงแล้วนั้น อนัตตาไม่ใช่ทั้งความมีตัวตนและความไม่มีตัวตน อนัตตาคืออนัตตา หากพระสมณโคดมตรัสรู้ความมีตัวตนหรือความไม่มีตัวตนแล้ว ก็คงไม่ต้องใช้คำศัพท์ใหม่ว่า “อนัตตา” นี่เพราะอนัตตามีความหมายเฉพาะของมันเอง ไม่อาจแทนที่ได้ด้วยความหมายว่ามีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ทว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น ลัทธินิรัตตายังได้รับความนิยมมาก พวกเขาเชื่อว่าไม่มีตัวตนอะไรเลย เช่น ถ้าเราฆ่าคนตายก็ไม่ผิดอะไร เพราะคนไม่มี ตัวตนก็ไม่มี ผู้ฆ่าไม่มี ผู้ถูกฆ่าก็ไม่มี ๒ อนัตตาแบบวิ ปริต อีกพวก หนึ่ง คือพวกพยายามเข้าใจความหมายของอนัตตาแล้วพลาด กลา

ภูมิปัญญาแห่ง “การเลื่อนระดับและความหลุดพ้น”

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าว ถึง มนุษย์และการกระทำของมนุษย์ที่เรียกว่า “ศิลปะ” ไปแล้ว ถามว่ามนุษย์จะทำงานศิลปะไปทำไม? คำตอบก็คือ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูง ขึ้น นั่นเอง ถามว่าทำไมต้องยกระดับให้สูง ขึ้น ด้วย? คำตอบค่อนข้างซับซ้อนทีเดียวครับ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ ๑ จิตมีระดับที่แตกต่างกัน? จิตคือมโนธาตุหรือธาตุรู้เหมือนกันหมด แต่มีระดับในการหยั่งรู้ไม่เท่ากันเรียกว่า “ญาณ” เช่น พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูญาณ แต่จิตของพระอรหันตสาวกไม่มี มีแต่อาสวักขยญาณ เพราะจิตมีระดับที่ต่างกันนี่เองจึ ง ถูกโครงข่ายพลังงานที่เรียกว่า “ภพ” กั้นไว้ให้อยู่ในระดับที่ต่างกัน เช่น ภพนรก, ภพสวรรค์ แม้แต่สวรรค์ในโลกนี้ยังมีโครงข่ายพลังงานแบ่งกันเป็นชั้นๆ ได้หกชั้น หากคนไม่เข้าใจเรื่องจิต จะหลงคิดว่าจิตเหมือนกันหมด เป็นพุทธะอยู่แล้วทั้งหมด อันนี้ไม่จริงครับ จิตมีระดับที่ไม่เท่ากัน สูงต่ำต่างกันดังอธิบายมาแล้วนั้นๆ ดังนั้น จิตที่อยู่ในระดับต่ำนั้น จะต้องผ่าน “การเลื่อนระดับ” ไปสู่ระดับที่สูงก่อน จึ ง จะเป็น “จิตพุทธะ” ได้ น ๒ การเลื่อนระดับคืออะไร? การเลื่อนระดับคือ การพัฒนาการของจ

ละครโลกดำเนินไปอย่างไร?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวเรื่อง “โลกคือละคร” เอาไว้บ่อยมาก หลายคนอาจยังไม่เห็นภาพเพราะคำว่าละครอาจมองได้ง่ายๆ เหมือนละครที่เราดูทั่วไป ทว่า หากพิจารณาให้ถ้วนถี่ยังมีความซับซ้อนอีกมากนัก ในบทความนี้จะนำความซับซ้อนของละครแห่งโลก มาอธิบายให้ท่านได้เรียนรู้ร่วมกัน ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ สองระบบคู่ขนาน โลกดำเนินไปด้วยสองระบบคู่ขนานได้แก่ ๑ ระบบตามธรรมชาติ ตรงไปตรงมาอย่างที่มันเป็น ต่อให้มันจะโหดร้ายแค่ไหนก็ต้องเป็นไปเช่นนั้น ๒ ระบบกรุณา ที่มีผู้มีบารมีเอาบุญบารมีของตนเองเข้ามาใช้ช่วยให้ได้สิ่งที่ดีกว่า โดยระบบแรกจะเป็นพื้นฐานไว้เพื่อให้ระบบที่สองเข้ามาเสริมครับ เหมือนฮาร์ดแวร์กับซอฟแวร์ เราไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง เราจะอ้างว่าเราไม่ได้ทำร้ายใคร เราทำความดี แค่นี้ไม่ได้ครับ เพราะหากเราไม่มีความรู้จริง แล้วการกระทำของเรากระทบระบบแรกเข้า มันก็เป็นปัญหาได้ เช่น สมมุติว่า นาย ก. มีกรรมต้องถูกฆ่าตามระบบแรก แต่เราไปทำความดีฝืนธรรมชาติ แบบนี้เรากระทบระบบแรกครับ ๒ โล กก็เหมือนแมตทริกซ์ โลกถูกสร้างอย่างมีระบบ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญหรือการสุ่มมั่วๆ และเราสามารถอ่านแบบแผนของร

อย่าตัดสินคนจากธรรมะที่เขาพูด?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวย้ำเตือนแล้วว่า “อย่าตัดสินคนที่คำพูด แต่ให้ดูการกระทำ” ทว่า หลายคนก็ยังไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ และยังติดชินหลงอยู่กับ “คำหวาน” คำเพราะเสนาะหู คำต้องตาต้องใจ ถูกใจอยู่เช่นเดิม   ในบทความนี้จึ ง ขออธิบายว่าทำไม เราจึ ง ไม่ควรตัดสินคนจากธรรมะที่เขาพูดออกมา ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ พูดธรรมะ ใช่ว่าเ ป็นคนดี คนชั่วก็พูดธรรมะได้ครับ แถมพูดได้ดีอีกด้วย เพราะอะไร? เพราะเรามีร่างสังขารเป็นคน มีสมอง เรียนรู้ได้ ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนเรียนรู้ได้ คนชั่ว คนไม่ดี คนที่คิดร้ายต่อศาสนาพุทธ ต่อคนอื่นๆ หรือต่อเรา เขาก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ธรรมะในพุทธศาสนาได้ ดังนั้น เราต้องหัดมองคนจาก “การกระทำ” ไม่ใช่คำพูด เช่น เขาพูดธรรมะว่า “ธรรมะไม่ต้องพูดเยอะหรอก ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น” แต่เจตนาแท้จริงที่ซ่อนเร้นของเขาคือ ต้องการทำลายล้างคนที่ทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมะในพุทธศาสนา ต้องการดิสเครดิตคนที่อธิบายข้อธรรม เห็นไหม? การกระทำที่แท้จริงคือ “ทำลาย” แต่คำพูดออกมาสวยหรู ดูดี มีธรรมะ มีหลักการคมคาย ๒ พูดธรรมะ กลบเกลื่อนก็ได้ เช่น คนศาสนาอื่นที่ต้องการทำลายพุทธศาสนา สามารถพูดธรรมะใ

สัญญาณบ่งบอกความเสื่อมของมนุษย์

รูปภาพ
หลายท่านเสื่อมจากความเป็นมนุษย์ลงไปโดยไม่รู้ตัว เพราะวิบากกรรมและการทำกรรมในปัจจุบันหลายอย่าง โดยเฉพาะกรรมที่ทำประจำจากการประกอบอาชีพ ทว่า หลายท่านไม่มีสติเท่าทัน ย่อมไม่รู้ตัวว่าตนได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปอย่างไรบ้าง ในบทความนี้จึ ง ขออธิบายเรื่องความเสื่อมจากมนุษย์ ดังต่อไปนี้     ๑ การแห่ตามๆ กันเหมือน ปลาตายไหลตามน้ำ นี่คือ อาการที่บ่งบอกว่าคุณเสื่อมจากความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่แท้จริงนั้นจะมีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความหลากหลาย มนุษย์ไม่มีปัญหาหากจะคิดต่างหรือจะต้องไม่เหมือนใคร เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นมนุษย์ ย่อมได้รับการยอมรับจากมนุษย์ด้วยกันอยู่แล้ว แต่คนที่เสื่อมจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว จะไม่ใช่เช่นนี้ พวกเขาเป็น “ร่างของบางสิ่ง” พวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม กลัวว่าจะแตกต่าง กลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับ ฯลฯ พวกเขาจะต้อง “แห่ตามๆ กัน” ไว้ก่อน เหมือนปลาตายไหลตามน้ำ มนุษย์นั้นมีชีวิต เป็นของเป็น ไม่ใช่ของตาย พวกเราจะไม่ทำตัวเหมือนปลาตายไหลตามน้ำ ๒ การขาดจิตสำ นึก ของความเป็นมนุษย์ “ความไม่อาย” หน้าด้าน ไร้ยางอาย คือ สิ่งบ่งบอกว่าคุณ

ตัวแทนในการบำเพ็ญบารมี

รูปภาพ
หลายท่านยังไม่ ถึง วาระที่จะได้หลุดพ้นยังต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปก่อน แต่ด้วยไม่รู้วาระหลุดพ้นของตน ก็สำคัญผิดคิดไปเหมือนดั่งว่าตนเป็นพระอรหันต์ ไปปฏิบัติเลียนแบบพระอรหันต์กัน ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่ได้บวช ไม่มีความพร้อมจะหลุดพ้นในชาตินี้เลย ในบทความนี้จึ ง ขออธิบายเรื่องการบำเพ็ญบารมี ดังต่อไปนี้     ๑ ตัวสำรองมีหลายลำดับเสมอ ในการบำเพ็ญบารมีตำแหน่งที่สำคัญๆ นั้น ไม่ได้มีแค่คนๆ เดียวที่บำเพ็ญครับ เพราะหากคนๆ นั้นบำเพ็ญไม่สำเร็จ กิจที่ต้องรับผิดชอบก็ต้องล่มไปด้วยจริงไหม? ดังนั้น ระบบการบำเพ็ญเขาจะจัดให้มีลำดับในการบำเพ็ญบารมีในตำแหน่งต่างๆ เช่น ตำแหน่งพระสยามเทวาธิราช ลำดับที่ หนึ่ง ไปจน ถึง ลำดับที่หลายพันก็มี เหมือนพระพุทธเจ้าก็จะมีลำดับที่ หนึ่ง ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ตรงนี้พอเข้าใจนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ครั้งที่พระกวนอิมลงมาบำเพ็ญเป็นพระธิดาเมี่ยวซ่าน แท้แล้ว พระธิดาทั้งสามองค์ล้วนแบ่งภาคมาจากพระอวโลกิเตศวรทั้งหมดครับ แต่สององค์แรกที่มีลำดับมาก่อน บำเพ็ญไม่สำเร็จ จึ ง ต้องให้องค์ที่สามบำเพ็ญต่อ ๒ อย่าหลงตัวเองว่ามีเราคนเดียว ดังที่กล่าวแล้วว่าทุกตำแหน่งมีตัวสำรองลำด