อย่าตัดสินคนจากธรรมะที่เขาพูด?




ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวย้ำเตือนแล้วว่า “อย่าตัดสินคนที่คำพูด แต่ให้ดูการกระทำ” ทว่า หลายคนก็ยังไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ และยังติดชินหลงอยู่กับ “คำหวาน” คำเพราะเสนาะหู คำต้องตาต้องใจ ถูกใจอยู่เช่นเดิม  ในบทความนี้จึขออธิบายว่าทำไม เราจึไม่ควรตัดสินคนจากธรรมะที่เขาพูดออกมา ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ พูดธรรมะ ใช่ว่าเป็นคนดี
คนชั่วก็พูดธรรมะได้ครับ แถมพูดได้ดีอีกด้วย เพราะอะไร? เพราะเรามีร่างสังขารเป็นคน มีสมอง เรียนรู้ได้ ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนเรียนรู้ได้ คนชั่ว คนไม่ดี คนที่คิดร้ายต่อศาสนาพุทธ ต่อคนอื่นๆ หรือต่อเรา เขาก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ธรรมะในพุทธศาสนาได้ ดังนั้น เราต้องหัดมองคนจาก “การกระทำ” ไม่ใช่คำพูด เช่น เขาพูดธรรมะว่า “ธรรมะไม่ต้องพูดเยอะหรอก ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น” แต่เจตนาแท้จริงที่ซ่อนเร้นของเขาคือ ต้องการทำลายล้างคนที่ทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมะในพุทธศาสนา ต้องการดิสเครดิตคนที่อธิบายข้อธรรม เห็นไหม? การกระทำที่แท้จริงคือ “ทำลาย” แต่คำพูดออกมาสวยหรู ดูดี มีธรรมะ มีหลักการคมคาย

พูดธรรมะ กลบเกลื่อนก็ได้
เช่น คนศาสนาอื่นที่ต้องการทำลายพุทธศาสนา สามารถพูดธรรมะในพุทธศาสนา กลบเกลื่อนปิดบังตัวเองเพื่อทำลายพุทธศาสนาก็ได้ ปัจจุบันมีอยู่มาก เพราะอะไร? เพราะการเรียนรู้ธรรมะในพุทธศาสนาขั้นปริยัตินั้น ใครๆ ก็เรียนได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธแท้ๆ เลย หากคนศาสนาอื่นต้องการทำลายศาสนาพุทธ เขาก็หลอกลวงเรา ปิดบังตัวตน แล้วแทรกเข้ามาในหมู่ชาวพุทธยุยงให้แตกแยกกันบ้าง ยุให้พระมีอะไรกับสีกาบ้าง ฯลฯ นี่ไม่ใช่การพูดลอยๆ หรือเป็นหลักการอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดจริงแล้ว และเกิดมากมายด้วย คนที่มุ่งร้ายต่อพุทธศาสนา ใช้ธรรมะในพุทธศาสนา มาปิดบังอำพรางตัวเอง แทรกเข้ามาทำลายพุทธครับ
                                                                                                   
พูดธรรมะ ให้ร้ายคนอื่นก็ได้
การพูดธรรมะให้ร้ายคนอื่น ปกติแล้วชาวพุทธเราไม่ค่อยเป็นกัน เพราะแค่จะให้พูดธรรมะเราก็ทำยากแล้ว เรามักต้องเป็นผู้ฟัง เข้าไปฟังธรรมจากพระมากกว่า ทว่า ปัจจุบัน “คนนอกศาสนา” ที่คิดร้ายทำลายพุทธ ก็ใช้ธรรมะของพุทธเรานี้ ในการทำลายพุทธเราเอง เพื่ออะไร? เพื่อหลอกลวงคนให้ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ศาสนาใด ยังไงละครับ จะได้ไม่โดนเล่นงานกลับ ในประเทศไทยเรา เคยมีการแย่งชิงอำนาจของพุทธกับพราหมณ์ ขั้นรุนแรงมาแล้ว คือ ยุคแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ที่ยกเอาผัวพราหมณ์เป็นกษัตริย์แล้วฆ่าลูกฆ่าผัวเก่าตัวเอง คิดดูให้ดี ตรองดูให้ดีเถิด ใครที่ยังชอบเชื่อพวกหมอดู ระวังจะเป็นเหมือนแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ก็แล้วกันครับ
                                                                                                   
๔ พูดธรรมะ ยุยงให้แตกแยกก็ได้
เช่น ตนอาจอยู่ศาสนาพราหมณ์ แต่พูดยุยงให้พุทธตีกับอิสลาม เข้าทำนอง “ตาอยู่” ไงละครับ การยุยงให้ผู้ก่อการร้ายและรัฐบาลกระทบกระทั่งกันนั้นมีมานานแล้ว และผลประโยชน์จะเกิดกับ “มือที่สาม” ก็เท่านั้น การยุยงให้คนแตกกันโดยพูดธรรมะกลบเกลื่อนนั้น คนไทยพุทธเราไม่เก่งแต่พวกพราหมณ์นี่เชี่ยวชาญมาก ให้ระวังไว้ ผู้เขียนจำเป็นต้องกล่าวชื่อศาสนาตรงๆ ไม่ใช่ว่าร้ายพราหมณ์ทุกคน พราหมณ์ที่ดีไม่ยุ่งการเมืองเลย แต่ในไทยเรามีพราหมณ์ที่ไม่ดีเหมือนยุคแม่หยัวศรีสุดาจันทร์อยู่ ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาเก่งที่จะตีเนียน อำพรางตนเข้ามายุยงให้คนนั้นคนนี้ตีกัน ไม่ต่างอะไรกับ “พิเภก” ที่ยุยงให้พระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์

๕ พูดธรรมะ เพื่อหวังผลประโยชน์ก็ได้
แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับปุถุชนหลงโลกเลย แม้ปากจะพูดพล่ามธรรมะ แต่ใจสกปรก คิดลามก ลามกนี่ไม่ใช่ในเรื่องเพศนะ แต่หมายความว่าคิดอกุศล เช่น คิดอยากได้ลาภสักการะจากการแสดงธรรม, อยากมีชื่อเสียงมีคนยอมรับเหมือนตระกูลพราหมณ์ที่ลือชื่อ คนแบบนี้ ที่เอาธรรมะไปพูดแต่มิได้หวังผลทางธรรม ทว่าเอาไปหากิน ปัจจุบันมีมากเหลือเกิน คำว่าหากินไม่ได้แปลว่าต้องได้เงิน บางคนไม่เอาเงิน แต่เอาชื่อเสียง อยากมีคนยกย่อง ยอมรับ เด่นดัง ฯลฯ ดังนั้น การพูดธรรมะของเขา แม้จะดูดีแค่ไหน แต่หากเราอ่าน “จุดประสงค์” ของเขาออก เราก็จะเห็นว่าเขาคิดสกปรก ไม่ซื่อ อย่าสนใจแค่คำที่พูดออกมา แต่ต้องดูจุดประสงค์ด้วยครับ
                             
ชาวพุทธเราต้องหัดดูคนที่การปฏิบัติ เพราะคำพูดมันหลอกกันได้ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?