บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก สิงหาคม 26, 2018

คุณใช้พลังความกลัวหรือความรัก?

รูปภาพ
หลายท่านไม่รู้ตัวเองว่าทำงานด้วยความกลัว พวกเขาอุปทานไปเอง เข้าข้างตัวเองว่าทำงานด้วยความรัก ทว่า มันไม่จริงครับ ทำให้หลายคนไม่ได้อิทธิบาทสี่ หลายคนไม่อาจใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมได้ กล่าวอย่างนี้ หลายท่านคงไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ ในบทความนี้ จึ ง จะขออธิบายให้ท่านหายข้องใจ ดังต่อไปนี้ ๑ จุดเริ่มต้นมาจากความกลัว? หลายคนทำงานเพราะความกลัว กลัวจะไม่มีเงินใช้ กลัวจะไม่มีกิน กลัวจะอยู่ไม่ได้ กลัวจะอายเขา กลัวคนเขาจะนินทาว่าไม่มีรายได้ฯลฯ เพราะความกลัวเหล่านี้เ ป็นจุดเริ่มต้น คนทั้งหลายจึ ง ต้องทำงาน การทำงานของพวกเขาจึ ง เริ่มต้นด้วยความกลัว ความกลัวมาจากความไม่รู้แจ้งจริง ความไม่รู้แจ้งจริงก็คืออวิชชา เหตุนี้ ชนทั้งหลายมิอาจใช้ “การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม” ได้ เพราะเขาใช้อวิชชาเป็นพื้นฐานในการทำงาน คำพูดว่าการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม จึ ง เป็นแค่ “การพูดเอาหล่อ แต่ทำจริงไม่ได้” หากคุณต้องทำงานที่ไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน ไม่มีสิ่งตอบแทนเลย คุณจะทำไหม? คุณจะกลัวไหมที่ต้องทำโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย ๒ จุดเริ่มต้นมาจากความรัก? เมื่อใดที่ “ความรักแท้” เกิดกับคุณ ความรักนั้นจะสลายคว

การใช้พลังด้านมืดด้านลบ

รูปภาพ
หลายท่านสนใจการ ฝึก พลังจักรวาลกันมากและหลายท่านก็ใช้การอ่านเอา ฟังเอาจากเน็ต แต่ไม่ยอมหาครูบาอาจารย์ ทำให้ ฝึก ผิดพลาดกันเยอะครับ เมื่อผิดพลาดแล้วใครจะช่วยได้? ในเมื่อคุณไม่มีครูช่วยเหลือ ก็ต้องช่วยตัวเองทั้งๆ ที่ไม่รู้จะแก้ยังไง? ในบทความนี้จะขออธิบาย ถึง การใช้พลังจักรวาลด้านไม่ดี ดังต่อไปนี้ ๑ พลังงานไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา เราไม่สามารถ ยึด มั่นถือมั่นพลังงานใดๆ ได้ เพราะมันไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา สิ่งที่เราทำได้คือ หยิบยืมสมมุติใช้ให้เหมาะสมตามบริบทต่างๆ เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวเท่านั้นเอง การยึดมั่นพลังที่ดี, พลังภาคสว่าง, พลังเชิงบวก ฯลฯ แล้วปฏิเสธพลังงานด้านตรงข้าม อาจทำให้คุณอยู่ในคอมฟอร์ตโซน แต่มันจะไม่ทำให้คุณโตเป็นผู้ใหญ่ในระดับจักรวาลได้ ดังนั้น คุณควรจะเปิดใจเรียนรู้ทุกอย่าง อย่างเป็นธรรมชาติ, อย่างไม่เลือกข้าง และอย่างไม่ยึดถือเป็นอัตตา เมื่อคุณเข้าใจหลักการเบื้องต้นนี้แล้ว คุณก็พร้อมที่จะเปิดใจเรียนรู้พลังทุกอย่างอย่างเป็นกลางๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง ด้วยทิฐิที่เป็นกลาง ที่มองทุกอย่างเป็นเพียงธรรมะ ธรรมชาติ ๒ การใช้พลังด้านลบโดยไม่เ ปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งมีเหตุผลขอ

การฟื้นฟูจิตวิญญาณเดิมแท้

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้อธิบายเรื่องการสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วว่ามีลักษณะอาการอย่างไร ปกติแล้วคนเราไม่ควรเป็นเช่นนี้ครับ แต่ยุคสมัยนี้พบว่ามีการสูญเสียจิตวิญญาณเดิมแท้เยอะมากผิดปกติ อันเนื่องมาจากการทำกรรม - รับวิบากกรรมที่แตกต่างไปจากอดีต ในบทความนี้จะกล่าวเรื่องฟื้นฟูจิตวิญญาณ ดังต่อไปนี้ ๑ จิตวิญญาณไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา เราไม่สามารถ ยึด มั่นถือมั่นว่าจิตวิญญาณเ ป็นตัวเราของเราได้ เพราะมันไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา จิตวิญญาณที่ดีในร่างของเรา เช่น จิตวิญญาณโพธิสัตว์สามารถจรจากร่างเราไปได้เหมือนการถอดจิตวิญญาณ ทว่า ในกรณีนี้ เขาจะไม่กลับมาร่างเราอีก ร่างของเราที่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วจะได้รับจิตวิญญาณใหม่มาแทน หากไม่มีจิตวิญญาณใหม่มาแทนที่ เราก็จะตายครับ ในขั้นแรกๆ มักได้รับจิตวิญญาณปีศาจ เราต้องบำเพ็ญไต่ระดับจากจิตวิญญาณปีศาจไป โดยการกำเนิดใหม่ให้เป็นมนุษย์หรือเทพ ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่หากใครไม่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นปีศาจต่อไปก็ได้ครับ ปีศาจบางตนถูกกักขัง ถูกจับติดคุกก็มีครับ ๒ จงยังความไม่ ประมาทให้ ถึง พร้อม เพราะเราไม่สามารถ ยึด มั่นถือมั่นจิตวิญญาณได้ แม้จะมีจิตวิญญา

อาการของการสูญเสียจิตวิญญาณ

รูปภาพ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเกินกว่า 50% สูญเสียจิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ไปแล้ว กล่าวเช่นนี้ ดูไม่น่าเชื่อถือเลยใช่ไหมครับ เพราะดูด้วยตาภายนอกทุกคนก็ยังเป็นคนปกติดีอยู่ทั้งนั้น อยู่ๆ จะมาบอกว่าไม่เหลือความเป็นมนุษย์ได้ยังไง? ในบทความนี้จะขออธิบายลักษณะของคนที่สูญเสียจิตวิญญาณ ดังต่อไปนี้ ๑ อาการไร้แรงบันดาลใจ ซังกะตายไ ปวันๆ อาการคือ จะต้องได้รับ “แรงกระตุ้นจากภายนอก” อยู่เรื่อยๆ หากขาดแรงกระตุ้นจากภายนอกก็จะไม่อยากทำอะไรเลย หรือซังกะตายไ ปวันๆ ไม่มีแรงบันดาลใจในตัวเองที่จะทำอะไรด้วยตัวเองครับเช่น ต้องรอให้คนมาด่า, มาไล่, มาสั่งใช้ ค่อยทำงานได้ บางคนไหลตามกระแสทำตามๆ กัน คือ ไม่มีแรงบันดาลใจในตนเองก็เลยไหลตามกระแสโดยง่าย โดยเฉพาะกระแสสื่อ หลายคนทำอะไรตามสื่อ เห็นในสื่อก็แห่ทำตามๆ กัน นี่คือภาวะขาดแรงบันดาลใจในตัวเอง ต้องรอให้มีแรงขับดันจากภายนอกมาก่อน ก็จะไหลตามกระแสนั้นได้ สรุปสั้นๆ คือ หากไม่มีแรงขับดันจากภายนอก พวกนี้จะไม่มีแรงทำอะไร จะอยู่เหมือนคนซังกะตายไปวันๆ ๒ อาการไม่เ ป็นตัวของตัวเอง หาตัวเองไม่เจอ เมื่อคนเราเสียความเ ป็นตัวของตัวเอง หรือเสีย self แล้วเขาจะรู้สึ

อาการของการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ

รูปภาพ
หลายท่านอาจสงสัยว่าจะทราบได้อย่างไรว่าเราได้ผ่านการวิวัฒนาการแล้ว ไม่ยากครับ มันจะมีอาการที่เราสามารถสังเกตุเห็นได้แต่ปกติครูบาอาจารย์จะไม่บอก เพราะอะไรครับ? เพราะจะทำให้เราเกิดอุปทานได้นั่นเอง ในกระทู้นี้จะขออธิบายไว้เพื่อไม่ให้ภูมิปัญญาสูญหายแต่ท่านต้องระวังอุปทานด้วย ดังต่อไปนี้ ๑ อาการเหมือนจะตายทั้งเ ป็น ในกระบวนการวิวัฒนาการนั้น จะต้องผ่านการกำเนิดใหม่ ซึ่ง ในการกำเนิดใหม่นั้นต้องผ่านการตายจากจิตวิญญาณเก่าก่อน ในขั้นตอนนี้เองท่านจะรู้ สึก เหมือนตายทั้งเ ป็น ทรมานมากๆ เหมือนจะตายจริงๆ คนที่ไม่ผ่านและตายจริงๆ ก็มีครับ มันคือ “ด่านที่ต้องผ่าน” ด่านเป็นตายนั่นเอง หากคุณผ่านการตายไปได้ คุณจะกำเนิดใหม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่ผ่านการตาย จ่ออยู่หน้าประตูแห่งความตาย เหมือนจะตายไม่ตายแหล่ แล้วคุณก็ถอยออกมาก่อน หรือมีคนช่วยคนได้ก่อน คุณก็จะไม่ผ่านขั้นนี้ครับ หากคุณผ่านได้คุณจะรู้ว่าการตายนั้นเป็นอย่างไร? เจ็บปวดอย่างไร? และมีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวคุณเองบ้าง? เพราะคุณมีประสบการณ์ตรง ๒ อาการเหมือนคนมีความรัก การ วิวัฒนาการจะเริ่มต้นจาก “ความรัก” แล้วความรักนี่แหละที่พาไปสู่ความตาย ค

ขั้นตอนการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวแล้วว่าการวิวัฒนาการครั้งใหญ่ของมนุษย์ไม่ได้เกิด ขึ้น ตลอดเวลา แต่จะเกิด ขึ้น เป็นบางยุคเท่านั้น และในยุคปัจจุบันก็คือช่วงแห่งการวิวัฒนาการแบบ “ก้าวกระโดด” ทว่า แม้จะเกิด ขึ้น อย่างรวดเร็วแต่ก็มีขั้นตอนเป็นกระบวนการที่สังเกตุเห็นได้ ดังจะอธิบายในบทความฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ การเ ปิดรับด้านมืดของตนเอง ไม่มีวัตถุดิบย่อมไม่เกิดผลใช่ไหมครับ? สำหรับการวิวัฒนาการก็เช่นกัน หากคุณมีวัตถุดิบเดิมๆ เ ป็นคนเดิม เมื่อ “เหตุเหมือนเดิม” ผลมันก็ต้องเหมือนเดิม จริงไหม? ถามว่าทำอย่างไรจะได้ผลใหม่ๆ ได้พันธุกรรมใหม่ละ? คำตอบง่ายๆ คือ เราจะต้องมี “วัตถุดิบใหม่” ที่เป็นเราจริงๆ ไม่ใช่ไปเอาอย่างใคร ไปเลียนแบบใคร นั่นเท่ากับเราไม่มีวัตถุดิบของเราเอง เราแค่ไปเห็นวัตถุดิบของคนอื่น แล้วเราก็ทำตามอย่างเขา เราไม่มีไข่กลับอยากกินไข่เจียว เรามีแต่มะนาวเราก็เลียนแบบเขา ทำไข่เจียวแบบเขา ทว่าดันมีแต่มะนาว แล้วมันจะได้ไข่เจียวไหม ก็ไม่ได้ ดังนั้น “เราต้องค้นหาวัตถุดิบจากด้านมืดของเราเอง” เพราะนั่นคือสิ่งที่เรามีแต่เราซ่อนไว้ ๒ เอาด้านมืดมากำเนิดใหม่ เมื่อเราค้นพบด้านมืดของตัว

เก่ง-ฉลาดก็อาจสูญพันธุ์ได้?

รูปภาพ
บทความก่อนอธิบาย ถึง การวิวัฒนาการครั้งใหญ่ของมนุษย์มาแล้ว ทว่า เรื่องราวของการวิวัฒนาการและการกำเนิดโลกใหม่นั้นมีเนื้อหารายละเอียดมาก ยากที่จะเข้าใจได้โดยง่าย ผู้เขียนจึ ง ต้องทยอยเขียนสั้นๆ วันละน้อยเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ในบทความฉบับนี้จะขออธิบายเรื่องการวิวัฒนาการต่อ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ โลกกำลังเ ปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โลกเก่ากำลังสิ้นไ ป โลกใหม่กำลังเกิดมาแทนที่ โลกไม่ได้จบสิ้น วันสิ้นโลกยังมาไม่ ถึง แต่วันสิ้นโลกเก่าเพื่อไปสู่โลกใหม่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป ทุกสรรพชีวิตในโลกก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่ามนุษย์ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการวิวัฒนาการดังกล่าว สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใครมีอำนาจมากกว่าจะมากำหนดอะไรใครได้ แต่มันเป็นเรื่องของโลก ของการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้ครับ สิ่งที่เราสามารถทำได้ก็เพียงแค่ “วิวัฒนาการให้ทันโลก” การวิวัฒนาการให้ทันโลก ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องซื้อของใหม่ๆ ล้ำๆ ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องมีความรู้มากก้าวล้ำ, ไม่ได้แปลว่าคุณต้องมีอำนาจข่มใคร ๒ การวิวัฒนาการในระดับจิตวิญญาณ มนุษย์จะมีการวิวัฒนาการในระด