บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มกราคม 6, 2019

สมบัติแท้ของโลกคือทุกข์?

รูปภาพ
“โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้จริง มันถูกสร้างมาเพื่อชำระล้าง” หากใครได้สิ่งดีมากๆ ก็จะถูกหลอกมาก ใครได้สิ่งไม่ดีมากๆ ก็จะใกล้พบความจริง หลุดพ้นเร็ว ดังนั้น จึ ง กล่าวว่า “สมบัติที่แท้จริงในโลกคือความทุกข์” ในขณะที่สมบัติอื่นๆ และความสุขนั้นกลับไม่ใช่สมบัติที่แท้จริง ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้ ๑ ภาวะ “ตรงข้าม” ของโลก หากโลกคือบ้านที่แท้จริง ไม่ได้สร้างมาเพื่อการชำระล้าง สิ่งที่ดีทางโลกจะเป็นสิ่งที่ดีทางธรรม สิ่งที่ไม่ดีทางโลกก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีทางธรรมด้วย ทว่า เพราะไม่ใช่เช่นนั้น “ทุกอย่างเลยพลิกกลับตรงข้าม” สิ่งที่ดีทางโลกกลับไม่ดีทางธรรม และสิ่งที่ไม่ดีทางโลกกลับดีทางธรรม ดังนั้น “ทุกข์จึ ง กลายเป็นของดี” และเป็นสมบัติดังเหตุผลข้างต้น คนได้รับทุกข์มากมีโอกาสได้หลุดพ้นมาก เหมือนคนมีสมบัติมาก ย่อมมีโอกาสมากกว่าคนที่ไม่มี ในขณะที่คนที่มีสุขมาก, มีสมบัติทางโลกมาก กลับกลายเป็น “ขาดโอกาสที่จะหลุดพ้น” หรือห่างไกลความหลุดพ้นไปเรื่อยๆ คนรวยทางโลกคือยากจนทางธรรม คนจนทางโลกกลับมีโอกาสร่ำรวยทางธรรม? ๒ สมบัติ, กำไร, ความร่ำรวย สามสิ่งนี้ท่านควรรู้จักให้แท้จริง ดังที่กล่า

คนมีบุญปัจจุบันเป็นแบบไหน?

รูปภาพ
“คนมีบุญมาเกิด” ในอดีตเขาอาจดูที่ลักษณะร่างกายอะไรแบบนั้น แต่ในปัจจุบันไม่ใช่ครับ เปลือกนอกนั้นก็แค่มายาการ เป็นของชั่วคราว คนมีบุญจริงๆ ในปัจจุบันเป็นอย่างไร? อันนี้เราควรเข้าใจให้ตรงไว้ เพราะจะได้ไม่ถูกใครหลอกลวงเอา แล้วหลงทางเดินตามคนผิดครับ ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้ ๑ เป็นคนไม่มีหนี้ คนมีบุญจริงยุคนี้ต้อง “ไม่มีหนี้” ครับ อันนี้เรื่องจริงนะ คุณรู้ไหม ธุรกิจใหญ่ ร่ำรวยมหาศาลแต่หยุดทำงานไม่ได้เพราะอะไร? เพราะดอกเบี้ยมันไล่จี้ตูดไงครับ หยุดไม่ได้ เถ้าแก่บางคนทำงานยังกะวัวกะควาย เพราะมีหนี้เยอะ ดอกเบี้ยมันสูงเอาๆ ทุกวัน ดอกเบี้ยนี่ไม่หยุดครับ แต่คนเราหยุดได้ กำไรก็หายได้ ขาดทุนกันได้ มีแต่ดอกเบี้ย วิ่งเอาๆ ไปข้างหน้าลูกเดียว ฮ่าๆๆ จริงอยู่ที่ว่า “คนมีหนี้คือคนมีเครดิต” คนเขาเชื่อถือเลยให้กู้ยืมได้ ทว่า “ไม่มีหนี้ย่อมดีกว่า” หรือจะให้ดีกว่านั้นก็ “เป็นเจ้าหนี้เขาแทน” ครับ ผู้เขียนทุกวันนี้ไม่มีรายได้ แต่มีเงินก้อนเล็กๆ ให้แม่ยืม ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ของแม่ ผู้เขียนนั้น ไม่มีหนี้แล้ว ส่วนตัวก็ใช้หนี้หมดแล้วครับ ๒ เป็นคนมีอิสระ คนมีบุญแท้ต้องมีอิสระสิ ถ้าไ

ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ไปเกิดไหน?

รูปภาพ
ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะไม่ได้มรรคผลแต่จะหลงตัวเองว่าได้อะไรมากมาย เพราะ “สมองคิดไปเองเยอะ” ถามว่าจะทราบได้อย่างไรว่าตายแล้วไปไหน? ก็ไม่ยากเพราะเดี๋ยวนี้เขามาจองตัวก่อนตายครับ พอเราเห็น “ชาวต่างมิติ” จองตัว เราก็สามารถทำนายได้ ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้ ๑ ผีเฝ้าศาสนา, เฝ้าตำราธรรม ประมาณ ๘ ๐ % ของผู้ปฏิบัติธรรมในปัจจุบันจะตายแล้วไปเกิดเป็น “ผีเฝ้าศาสนา, เฝ้าตำราธรรม, เฝ้าวัด” ยังไม่ได้เป็นเทพนะ ต้องบำเพ็ญต่ออีกกว่าจะได้เป็นเทพ เช่น บำเพ็ญร้อยปี, พันปี ได้เป็นเทพอะไร? จะได้เป็น “เทพธรรมบาล” ครับ อยู่ชั้นล่าง เฝ้าดูแลศาสนา, ตำราธรรม, วัด, สถานธรรม ฯลฯ พวกนี้จะมีลักษณะคือ “ยึดติดศาสนา, ตำราธรรม, วัด” ฯลฯ มากๆ เพราะความยึดติดในสิ่งนี้เอง นำพาจิตมาเกิดพัวพันกับสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่นนั้น หลายคนทำตัวเหมือน “จงอางหวงไข่” ใครมาพูดเรื่องธรรมะหัวข้อที่ตนเฝ้า จะต้องมีอาการเล่นงานคนนั้นคนนี้ด้วยวาจาต่างๆ ราวกับว่าธรรมะนั้นเป็นของตน ทั้งที่ตนก็มิใช่ผู้ตรัสรู้ในธรรมนั้น ๒ ฤษี พวกฤษีคือพวกที่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่สำเร็จเป็นเทพ ไม่ได้หลุดพ้นไปพรหมโลก แต่จะติดอย

นิพพานแล้วเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว แต่หลายท่านก็ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ยังคงใช้ความเข้าใจเดิมๆ มาโยงธรรมะมั่วไปหมด ในไตรปิฏกอธิบายชัดเจนว่านิพพานจะบอกว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ลองไปอ่านดูครับ ทว่า หลายคนยังเข้าใจไม่ตรงจนถกเถียงกัน ขึ้น ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้ ๑ สมมุติกับวิมุติธรรม อย่างแรกให้ปรับความเห็นให้ตรงว่าวิมุติธรรมกับสมมุติธรรมนั้น “อธิบายได้ต่างกัน” ในภาคสมมุติธรรมนั้น เราจะอธิบายลักษณะว่ามีการเกิดดับไปเป็นธรรมดาส่วนในภาควิมุติธรรมนั้น “เราจะไม่เอาเรื่องการเกิดดับมาปน” เช่น เราจะไม่เอาสัจธรรมแท้มาพูดว่าเดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่ เก็จนะครับ ต่อไป เราก็ปรับทิฐิให้ตรงอีกทีว่า “นิพพานไม่ใช่สมมุติธรรม แต่เป็นวิมุติธรรม” ดังนี้ อย่าเอาเรื่องการเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกมาอธิบายนิพพานเช่น บางคนไปบอกว่านิพพานคือไม่เกิดอีกแล้วก็ไม่ใช่นะ ในไตรปิฏกบอกไว้ชัดเจนว่า “นิพพานจะบอกว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่, ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่” เพราะเป็นธรรมคนละส่วนกัน สมมุติธรรมกับวิมุติธรรม ๒ แยกแยะเรื่องจิตกับนิพพาน ขั้นที่สอง ให้ปรับทิฐิให้ตรงเรื่องจ

ทุกข์กว่าความตายคือเรายังจำอดีตชาติได้

รูปภาพ
หลายคนกลัวความตายและคิดว่าความทุกข์ที่สุดคือความตาย ทว่า มันไม่จริงความตายไม่ได้ทำให้เราทุกข์ที่สุด ทว่า เป็นชีวิตหลังความตายต่างหากที่ทำให้เราทุกข์มากมายเหลือเกิน ทำให้หลายคนกลัวความตาย กลัวว่าตายแล้วจะไม่มีที่อยู่, ไม่มีอะไรกิน, ไม่มีพวกพ้อง ฯลฯ ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้ ๑ การตายแบบไม่มีขันธปรินิพพาน ขันธ์ทั้งห้าได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ หากไม่ผ่านขันธปรินิพพานแล้ว เมื่อเราตายลงเราจะยังจำสิ่งเดิมได้ ตัวตนเก่า, คนเก่าๆ, ชีวิตเก่าๆ ฯลฯ มันไม่เคยจางหายไปไหน เราจะอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่เราไม่อาจเอากลับคืนมาได้ เราจะวนเวียนแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรใครไม่ได้ พูดอะไรใครไม่ได้ เมื่อคุณตายแรกๆ ทุกข์ของคุณอาจดูไม่มากเท่าไร แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ทุกอย่างจากคุณไปหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรเลย ทุกคนที่ตายก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับคุณ ทุกคนต่างมีทางไปของเขาเอง คุณต้องเจ็บปวดทุกข์อยู่เช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ในขณะที่พวกเขาอาจไม่รู้เลย” นี่คือ ความทุกข์ที่ไม่สิ้นสุดของการไม่ปรินิพพาน ๒ กระบวนการหลังความตาย “ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก แต่ชีวิตหลังความตายกลับยาวนานย

ปฏิบัติแบบน้ำกลิ้งบนใบบัวเป็นอย่างไร?

รูปภาพ
“น้ำกลิ้งบนใบบัว” คืออยู่กับทางโลกแต่ไม่ติดทางโลก หลายท่านมักจะพูดกันเกร่อ แต่ทำจริงได้ยาก เพราะพูดง่ายแต่ทำยากครับ ในบทความนี้จะขอนำมายกตัวอย่างสัก ๕ ข้อให้ดูว่าแบบไหนที่เรียกว่าน้ำกลิ้งบนใบบัวจริงๆ และทำไมบอกว่าปฏิบัติจริงยาก? หลายคนดีแต่พูดอวดโชว์แต่ทำไม่ได้จริง ดังจะอธิบายต่อไปนี้ ๑ ทำงานแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว คือ “การทำงานโดยอิสระไร้เงื่อนไข” ไม่ใช่เพราะถูกจ้างให้ทำ ไม่ใช่เพราะต้องการได้เงิน ได้ความร่ำรวย แต่ทำไปอย่างอิสระจากเงื่อนไขต่างๆ ไม่หวังเด่นดัง, ไม่หวังมีชื่อเสียง, ไม่ใช่ทำเพื่ออวดใคร คนส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้นะครับ บางคนทำงานจิตอาสา แต่ชอบเอารูปที่ตนทำงานมาโพสลงเฟสเพื่อให้ตัวเองเด่นดัง สร้างข่าวให้คนไม่ลืมหรือให้คนชอบไปเรื่อยๆ ก็มี อันนี้ยังไม่ใช่การทำงานแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว การทำงานแบบทางโลกนั้น “ทำแล้วติด” ไม่หลุดพ้นเพราะไม่ใช่การทำงานแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว ยิ่งการทำงานในระบบจ้างงานก็ดี, ระบบที่ลงทุนเอง ก็ดี เหล่านี้ทำให้เกิดกรรมสะสมมาก และไม่ใช่สัมมาอาชีวะที่ทำให้หลุดพ้นได้เลย ๒ มีตำแหน่งแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว การมีตำแหน่งและอำนาจต่างๆ นั้นเป็น “เครื่องร้อยรัด” ทำให

เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมคืออะไร?

รูปภาพ
หลายท่านปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสไม่ได้บวชพระและทำงานตามปกติ แล้วอาจเข้าใจไปเองว่าตนเองมีธรรมแล้วก็ได้ ในบทความนี้จะขออธิบายให้ชัดเจนตรงกันว่าอย่างไรที่เรียกว่า “เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม” เพื่อให้ชัดเจนไม่หลงทาง เพราะธรรมส่วนนี้แตกต่างจากพระครับ ดังจะอธิบายในบทความต่อไปนี้ ๑ ความร่ำรวยทั้งทางโลกและทางธรรม ดังเช่น พระ ที่ค่ำไหนนอนนั่น ธุดงค์ไปได้เรื่อยๆ แสดงว่า “ร่ำรวยที่อยู่อาศัย” ไม่มีจำกัด ไม่คับแคบแค่ในบ้านที่ตนถือครอง จริงไหมครับ เช่นกัน ความร่ำรวยทั้งทางโลกและทางธรรม มิใช่ความร่ำรวยในทางโลก ในแบบเดิมๆ ที่เราเข้าใจ หลายคนเข้าใจผิด ปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสแล้วคิดเอาเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ใช่แล้ว เพราะอนุมานเอาจาก “ความคิดความเข้าใจ” เหมือนนั่งเรียนในห้องแล้วเข้าใจธรรมะ ก็คิดว่าเรามาถูกทางแล้ว ยังไม่ใช่นะครับ แบบนั้นยังไม่ออกมาจากทางโลกเลยด้วยซ้ำ ยังหลงติดอยู่ในทางโลกอ ยู่เลย เอาใหม่ ความร่ำรวยในทางโลกและทางธรรมนั้น แม้ไม่ถือครองแต่ก็สามารถที่จะใช้สิ่งนั้นๆ ได้นั่นเองครับ ๒ ความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม หลายคนคิดว่าเรามีผลงานมาก ทำอะไรได้มากมายคือความสำเร็จ นั่นคื