บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤษภาคม 6, 2018

ฆราวาสผู้ทรงธรรมต่างจากพระอย่างไร?

รูปภาพ
เราทั้งหลายเป็นฆราวาส ไม่อาจปฏิบัติธรรมอย่างพระได้ ถ้าเราอยากปฏิบัติอย่างพระ ก็ต้องไปบวชก่อนครับ เพราะความเป็นอยู่ของฆราวาสและพระนั้นต่างกัน จะให้ปฏิบัติตนเหมือนกันก็ไม่ได้ เช่น ถ้าเราไม่กินข้าวเย็น แต่ครอบครัวเรากิน มันก็อาจเป็นปัญหาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมี “ธรรมภาคฆราวาส” เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ กิจในกลางพุทธกาลของพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาช่วยกันค้ำพุทธศาสนาให้ดำเนินต่อไป หลายท่านได้ลงมาสร้างธรรมภาคฆราวาส ผู้เขียนเองก็เช่นกัน ในบทความนี้จะขออธิบายความแตกต่างของการปฏิบัติในเพศฆราวาสกับพระสงฆ์ตามแนวทางของผู้เขียนเอง อันอาจแตกต่างจากท่านอื่นๆ ก็ได้ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ เ ป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่สมมุติเทพ ในอดีต โลก ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ เราเกิดมาก็ถูกสังคมหล่อหลอมใส่หัวให้เชื่อว่ากษัตริย์เป็นสมมุติเทพแล้ว มนุษย์ถูกจับใส่หัวโขนเป็นสี่วรรณะ เราต่ำกว่ากษัตริย์ กว่าพระ จะต้อง “ก้มกราบ” การก้มกราบนี้ ไม่ใช่สัจธรรมอะไรนะ มันเป็นแค่กระพี้ ที่ทางโลกเขาทำไว้เพื่อให้คนในยุคอดีตอยู่ร่วมกันได้เท่านั้นเอง ทว่า ยุคนี้ เราต้องอยู่กับ “ปัจจุบันธรรม” ที่สมมุติทางโลกเปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์จะได้ตื่นรู้ว่าตั

พลังแท้ VS พลังแฝง

รูปภาพ
ปัจจุบันคนจำนวนมากมีพลังแท้อ่อนลง ลดลง ร่อยหรอลง เหลือ 10 - 20 % แต่พวกเขากลับดูมีพลังมากขึ้น เพราะนั่นคือ “พลังแฝง” นั่นเองครับ ถามว่าทราบได้อย่างไร? ก็ง่ายๆ เลยครับ ถ้าคุณใช้ชีวิตตามปกติทำกิจได้ตามปกติไหม? หรือต้อง “โด้ฟ” หลายคนต้องโด้ฟอะไรสักอย่างขาดไม่ได้ครับ เช่น กาแฟ เป็นต้น หาไม่ก็จะอ่อนแรง หมดพลัง ทำงานการอะไรไม่ได้ นั่นละครับ พลังแท้ของคุณแท้จริงแล้วมีแค่นิดเดียวเอง แต่ด้วยอาศัยพลังแฝง เสริมอยู่เรื่อยๆ ทำให้ดูเก่งดี มีพลังมากมายได้ ในบทความนี้จะขออธิบายความแตกต่างของพลังแท้และพลังแฝง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสังเกตุเองได้ง่ายๆ แยกแยะได้ง่ายๆ ด้วยตาเปล่า ต่อไปนี้ครับ ๑ พลังความสามารถไม่คงที่ บางครั้งเหมือนเก่งดีมีพลังมาก แต่บางครั้งหมดเรี่ยวแรงไร้พลัง ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย นี่ละครับ อาการที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังยืมพลังแฝงมาใช้อยู่ ทว่า เมื่อคุณกำลังจะหมดพลัง คุณก็จะหาอะไรบางอย่างมาเสริมให้ตัวเองด้วยการ “โด้ฟ” ด้วยอาหาร, เครื่องดื่ม ฯลฯ บางชนิด หรือเติมพลังด้วยการออกไ ปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าพลังชีพของคุณอ่อนลงมาก ร่อยหรอลงมาก และคุณกำลังใช้พลังแฝงอยู

ชาวศรีวิไลซ์

รูปภาพ
เมื่อเข้าสู่รัชกาลที่สิบตามคำทำนายของหลวงพ่อโต พรหมรังสี กล่าวว่ายุคสมัยจะเป็นยุคของชาวศรีวิไลซ์ ถามว่าชาวศรีวิไลซ์คือใคร? ในบทความนี้ ผู้เขียนจะเล่าเรื่องราวของชาวศรีวิไลซ์ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านครับ 1  ชาวศรีวิไลซ์เป็นมนุษย์ ในยุคนี้ คนในโลกจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ชาวศรีวิไลซ์เป็นจิตวิญญาณมนุษย์ มีความเป็นมนุษย์ ต่างจากคนที่เป็นร่างของชีวะอื่นๆ เช่น ร่างปีศาจ, ร่างเทพ ฯลฯ กล่าวคือ ในยุคปัจจุบันนี้จะมีคนที่เป็น “ร่าง” ของสิ่งอื่นเยอะมาก เพราะสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ไปหมดแล้ว ก็ตกเป็นร่างของสิ่งอื่น มนุษย์ที่แท้จริงลดน้อยลงจนไม่อาจจะรับธรรมะในพุทธศาสนาได้ (ผู้ที่จะรับธรรมได้ต้องเป็นมนุษย์ ขึ้น ไป) พระศรีอาร์ฯ จะลงมาเกิดเพื่อค้ำพระพุทธศาสนาที่หักกลาง ดังนั้น ท่านจะสร้างชาวศรีวิไลซ์ เพื่อให้มีมนุษย์ เพราะหากไม่เหลือมีมนุษย์แล้ว ธรรมะก็ไร้ประโยชน์ เพราะร่างปีศาจ ร่างซอมบี้ นั้น ไม่อาจรับธรรมะแล้วปฏิบัติได้มรรคผลได้เลย แม้แต่ในสถานธรรม คนที่เข้าสถานธรรมจำนวนมากก็เป็น “ร่างปีศาจ” เท่านั้น 2  ชาวศรีวิไลซ์เป็นชาวกรุง ชาวศรีวิไลซ์จะเป็นชาวกรุง อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ห

นักปฏิบัติที่แท้จริง

รูปภาพ
การปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มต้นจาก “มหาสุญตา” คือ ว่างเปล่าแล้วจากธรรมะที่อธิบายได้ ที่กล่าวได้ทั้งมวล ที่เรียกว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” คือ ตื่นแจ้งแล้วว่าธรรมะนั้นเป็นอนัตตา มิใช่ตัวเรา ของเรา ดังนั้น จะไม่เอาธรรมะอะไรมาพูดพล่าม มาสอน มาสนทนา มาถกเถียงกับใครอีกแล้ว เหมือนที่ท่านตั๊กม้อถามลูกศิษย์แล้วมีศิษย์คนสุดท้าย ไม่พูดอะไร หุบปากเงียบเลย นี่แหละ คือ มหาสุญตา มันไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว หมดแล้ว มันตื่นแจ้งแล้วว่าธรรมะที่พูดได้เหล่านี้ มันไม่มีสาระอะไรจะไปเสียเวลาหลงวนกับมันเลย เอาละ ที่นี่ ที่สุดของปริยัตินะ ไม่ใช่ที่สุดแห่งธรรมทั้งหมด ต่อไปคือ “ปฏิบัติ” จริงแล้ว ตรงนี้แหละ เราจะเริ่มกลับมาปกติ เหมือนคนปกติ ไม่ใช่เป็นใบ้พูดอะไรไม่ได้ ไม่ใช่นะ แต่จะพูดคุยเหมือนคนธรรมดาๆ เลย กินข้าวยัง กินแล้วก็บอกว่ากินแล้ว ไม่มีเล่นลิ้นแบบนักปรัชญาว่า ไม่มีสิ่งใดให้กิน อะไรแบบนี้อีก ถ้ายังเล่นลิ้นแบบนักปรัชญาก็แสดงว่ายังมีความหลงวน บ้าปรัชญาอยู่ ยังต้องไปผ่านมหาสุญตาก่อน แล้วจะจบ เลิกบ้า เลิกทำตัวเป็นนักปรัชญาได้ แล้วจะกลับมาเป็นคนปกติ พูดปกติได้ จากนั้นเขาจะพูดอะไรกันในระดับ “ปฏิบัติ” เขาก็จะพูดกันว่

การปฏิบัติธรรมมิใช่การค้นหาปรัชญาใดๆ

รูปภาพ
การบรรลุธรรมในพุทธศาสนาต่างจากการค้นหาทฤษฎีใหม่ๆ หรือ ป รัชญาใหม่ๆ แบบนัก ปรัชญานะครับ แต่มีหลายท่านไม่เข้าใจตรงนี้ หลายท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพุทธศาสนาจริงๆ แต่กำลังทำตัวเป็นนักปรัชญาที่คิดค้นหาปรัชญาใหม่ๆ ในแบบของตัวเองอยู่ ถามว่ามันต่างกันอย่างไร? ก็มีข้อแตกต่างมากครับ บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างของทั้งสองสิ่งนี้ให้ดูเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ดังต่อไปนี้  ๑ การคิดกับการพัฒนาจิต ไม่เหมือนกัน นัก ปรัชญาก็คือปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องการมีปรัชญาในแบบของตัวเองแค่นั้นครับ พวกเขาไม่ใช่ชาวพุทธจริงๆ และไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมอะไรเลย เหมือนพราหมณ์ที่อยู่นอกพุทธศาสนาที่มีธรรมะของตนเอง ทว่า พราหมณ์นั้นไม่ได้คิดธรรมะเอง แต่ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น ส่วนนักปรัชญานั้นจะคิดค้นปรัชญาในแบบของตัวเองครับ ทว่า มันคือการใช้สมองคิด มันไม่ใช่การพัฒนาจิตวิญญาณอะไรเลย ดังนั้น นักปรัชญาก็อาจมีกิเลส และทำสิ่งที่ผิดพลาดได้มากมาย ด้วยจิตใจของเขายังเหมือนเดิมนั่นเองครับ ๒ การบรรลุธรรมไม่ใช่การคิดสิ่งใหม่ได้ แต่นัก ปรัชญาจะชอบคิดค้นปรัชญาใหม่ๆ เสมอ มีแนวทาง แนวธรรมให

เทคนิคการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม

รูปภาพ
ใครๆ ก็พูดได้ครับว่า “ การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ” แต่ใครละที่ทำได้จริง? แท้จริงแล้วคนที่ทำได้จริงนั้นมีน้อยมากครับ เพราะต้องรู้แจ้งในระดับ หนึ่ง ก่อน จึง จะสามารถใช้ การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม มิฉะนั้นก็จะทำได้แค่พูดเอาหล่อ ให้ดูดีไปอย่างนั้นเอง ในบทความฉบับนี้จะขอแนะนำเทคนิคการใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆ และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้ครับ ๑ การ ใช้ใจเป็นประธาน การ ปฏิบัติธรรมนั้น “สำคัญที่ใจ” ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แต่ไม่ใช่ให้เอาใจเป็นที่ตั้งแบบคนที่ทำอะไรตามอำเภอใจนะ อันนั้นคนละเรื่องกันเลย คำว่า ใจเป็นประธานคือไม่ได้เอาร่างกายหรือสิ่งรอบตัวมาเป็นตัวหลักในการปฏิบัติ แต่ใช้ใจเรานี่ละ เป็นหลัก ไม่ได้เอาสมองคิด เอาความฉลาดมาค้นหาคำตอบอะไรทั้งนั้น ใจล้วนๆ เลย ใจถึงหรือเปล่า? ถ้าใจมันไม่ทำงานเลย ใจไม่พัฒนาเลย มันไม่ใจเลย มันก็ได้แค่เปลือก แก่นมันก็ไม่ได้ คนส่วนใหญ่เวลาถูกทดสอบนั้น ไม่เอาการพัฒนาใจเป็นสำคัญ มักเลือกของนอกตัวไปเสีย ๒ ว่างเ ปล่าจากจิตปุถุชน จิต ปุถุชนคืออะไร? ก็คือ จิตของปุถุชนคนธรรมดาๆ ทั่วไป ที่มีกิเลส มีควา