เทคนิคการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม
ใครๆ ก็พูดได้ครับว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” แต่ใครละที่ทำได้จริง? แท้จริงแล้วคนที่ทำได้จริงนั้นมีน้อยมากครับ เพราะต้องรู้แจ้งในระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม มิฉะนั้นก็จะทำได้แค่พูดเอาหล่อ ให้ดูดีไปอย่างนั้นเอง ในบทความฉบับนี้จะขอแนะนำเทคนิคการใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆ และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้ครับ
๑ การใช้ใจเป็นประธาน
การปฏิบัติธรรมนั้น “สำคัญที่ใจ” ใจเป็นใหญ่
ใจเป็นประธาน แต่ไม่ใช่ให้เอาใจเป็นที่ตั้งแบบคนที่ทำอะไรตามอำเภอใจนะ
อันนั้นคนละเรื่องกันเลย คำว่า ใจเป็นประธานคือไม่ได้เอาร่างกายหรือสิ่งรอบตัวมาเป็นตัวหลักในการปฏิบัติ
แต่ใช้ใจเรานี่ละ เป็นหลัก ไม่ได้เอาสมองคิด เอาความฉลาดมาค้นหาคำตอบอะไรทั้งนั้น
ใจล้วนๆ เลย ใจถึงหรือเปล่า? ถ้าใจมันไม่ทำงานเลย ใจไม่พัฒนาเลย มันไม่ใจเลย
มันก็ได้แค่เปลือก แก่นมันก็ไม่ได้ คนส่วนใหญ่เวลาถูกทดสอบนั้น ไม่เอาการพัฒนาใจเป็นสำคัญ
มักเลือกของนอกตัวไปเสีย
๒ ว่างเปล่าจากจิตปุถุชน
จิตปุถุชนคืออะไร? ก็คือ จิตของปุถุชนคนธรรมดาๆ
ทั่วไป ที่มีกิเลส มีความต้องการต่างๆ เมื่อปุถุชนทำงานนั้นจะคิดหวังที่จะได้ผลทางโลก
เช่น เงิน, กำไร, ความเป็นอยู่, การเลี้ยงชีพ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้
หากยังมีอยู่ก็จะทำให้จิตของเราตอกย้ำความเป็นปุถุชนต่อไป ไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้
เราจะต้องว่างเปล่าจากจิตปุถุชนเหล่านี้ก่อน ทั้งยังต้องว่างเปล่าจากจิตนักปรัชญาด้วย
หากยังบ้าปรัชญา คิดค้นหาปรัชญาใหม่ๆ ไม่สิ้นสุด ใจไม่ว่างพอ
ก็จะไม่อาจใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมได้ เพราะสมองจะคิดเลอะเทอะไปหมด
๓ ส่องกระจกดูใจตัวเอง
ขณะทำงานนั้น
เราจะต้องดูจิต ดูกาย ดูเวทนา ดูธรรมปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดดับตรงหน้า ณ ปัจจุบันด้วย
ถ้ามัวแต่คิดเรื่องอดีต, เรื่องอนาคต, เรื่องอะไรต่อมิอะไรไกลเกินไป ก็ขาดสติ
ขาดสมาธิ แต่ถ้ามีสติดี ส่องดูใจตัวเองได้ตลอด ก็จะเห็นใจของเราเหมือนน้ำใสๆ
เมื่อทำงานแล้วมีอะไรเข้ามากระทบ ใจเราขุ่นมัวหรือไม่? มีสิ่งที่ไม่ดี ใจเราปฏิฆะด้วยไหม?
มีสิ่งที่ดี ใจเรามีตัณหาพัวพันด้วยหรือเปล่า? เมื่อสติเกิด
จะทำให้เราพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ สติทำให้เราหลุดโพล่งออกมา
ใจก็สงบนิ่งเหมือนน้ำนิ่ง ใสบริสุทธิ์ดุจน้ำใสอย่างนั้นเอง
๔ ไร้ลักษณ์และไร้รูปแบบ
การปฏิบัติธรรมนั้นเหมือนการไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย
เหมือนการใช้ชีวิตปกติเลย แต่มันต่างจากการใช้ชีวิตปกติของปุถุชนแน่นอน เปลือกนอกดูคล้ายกัน
กลมกลืนกัน แต่แก่นแท้ต่างกัน การปฏิบัติธรรมที่ยังมีการกำหนดรูปแบบตายตัว
จะทำให้เราติดในรูปแบบของการปฏิบัตินั้นๆ ได้ เรียกว่าจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นละ
สำคัญที่ “ใจ” เรานี่ต่างหาก ไม่ต้องไปกำหนดลมหายใจ, กริยาท่าทาง, บทสวดมนต์,
โคจรเส้นชีพจร ฯลฯ หรืออะไรทั้งนั้น ยิ่งไปกำหนดยิ่งติดขัด, ยิ่งหวังผล
ยิ่งไม่ได้ผล, ยิ่งยึดติดมรรค ยิ่งไม่เกิดผลใดๆ เลย
๕ ทุกอย่างล้วนเกิดดับเอง
ทั้งสมาธิ,
สติ, ปัญญา
ฯลฯ ล้วนเป็นไตรลักษณ์ เกิดแล้วดับเองตามธรรมะ ธรรมชาติ
การทำงานนั้นจะมีทั้งสมาธิ, สติ, ปัญญา ฯลฯ เกิดเอง ดับเอง เป็นของธรรมะ ธรรมดา
ธรรมชาตินะ ไม่มีอะไรที่เกิดจากการสร้างทำ ประดิษฐ์ขึ้นเลย ทุกอย่างของจริง เป็นธรรมชาติจริงๆ
เลย ถ้าเราไปกำหนดสร้างสมาธิ สมาธิที่สร้างได้ก็ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นเหมือนสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์
เหมือนเพชรเทียมที่มนุษย์ประดิษฐ์ได้น่ะละ ก็ไม่ใช่เพชรจริงตามธรรมชาตินะ
เมื่อมีสมาธิเกิดดับอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว มันจะเป็นกลาง เป็นสัมมาสมาธิไปเอง
๖ ทำใจเบาๆ
สบายๆ ชิลๆ
เรียกว่าทำงานมีความสุขได้ก็เอาละ แต่ไม่ได้ไปคาดหวังจะเอาความสุขนะ
ถ้าเจ้านายด่า มันเครียดอะไรก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีเจ้านายพูดดี พูดเพราะ
ไม่ใช่ แบบนั้นเราจะไม่อยู่กับธรรมปัจจุบัน เราจะหนีไปอยู่กับโลกแห่งความคิดฝัน
โลกแห่งอุดมคติของตัวเอง มันไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง ก็ไม่ใช่ธรรมปัจจุบันครับ
คนเรานั้นถ้าทำงานอย่างมีสมาธิ จะเกิดฌาน เมื่อนั้นจิตจะสงบสุข ผ่องใส
เราจะทำงานได้อย่างมีความสุข ตรงนี้ ให้เริ่มปฏิบัติโดยทำงานง่ายๆ ก่อน งานพื้นๆ
เช่น ทำครัว, ทำสวน, จัดแจกัน, วาดภาพ ฯลฯ เป็นต้น
๗ ความทุกข์ ความเครียด มันจะดับไปเอง
เวลาเราทำงานเพลินๆ มีสมาธิดี สิ่งต่างๆ
มันจะดับไปเอง เฮ้ย ทำไมมันดับไปเองได้ละ? อ้าว ก็นี่แหละที่เขาว่า “สัพเพ ธัมมา
อนัตตาติ” ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนของตน มันไม่ใช่อัตตา มันไม่นิจจังแต่แรกแล้ว
มันแค่มีอยู่ด้วยการอิงอาศัยเหตุปัจจัยประกอบกันมาเท่านั้น พอเราไม่เพ่ง
ไม่ส่งเสริม ไม่อะไรกับมันแล้ว มันก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง ดับไปเอง ตามวาระของมัน
เหมือนกองไฟน่ะละ ถ้าเราไม่ใส่ฟืน ไม่เพิ่มเชื้อเข้าไป มันก็ค่อยๆ มอดดับลงไปเอง
กิเลส, ความทุกข์, ความเครียด ฯลฯ ทั้งหลาย มันก็ดับไปเองด้วยประการฉะนี้
ทั้งเจ็ดข้อนี้คือ เคล็ดลับการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น