อาการของการปฏิบัติธรรมพลาด
ในบทความก่อนได้อธิบายแล้วว่าการปฏิบัติธรรมผิดพลาดนั้นสู้ไม่ปฏิบัติธรรมแล้วเป็นคนปกติยังดีกว่าว่ามีความหมายอย่างไร?
หลายท่านอาจยังไม่เข้าใจและไม่คิดว่าตัวเองก็เข้าข่ายปฏิบัติธรรมพลาดด้วย ดังนั้น
จำต้องอธิบายเพิ่มเติมต่อไป ในบทความนี้ขออธิบายเรื่อง “อาการของการปฏิบัติธรรมพลาด” ดังต่อไปนี้
๑ มีความเห็นผิดไปจากความจริง
ดังคำกล่าวของเซนที่ว่า
“ก่อนปฏิบัติธรรมเห็นภูเขาเป็นภูเขา เมื่อปฏิบัติธรรมเห็นภูเขาเป็นความว่าง
หลังปฏิบัติธรรมสำเร็จแล้วเห็นภูเขาเป็นภูเขาดังเดิม” นี่ละครับ
คนเราเมื่อปฏิบัติธรรมพลาด จะมีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริงเรียกว่า “ทิฐิวิปลาส”
คำว่าทิฐิ ก็คือความคิดเห็น คำว่าวิปลาส ก็คือผิดไปจากความจริง นั่นเอง
หลายคนไม่รู้ตัว ขาดสติ ไม่ทราบว่าตนเองมีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง
เพราะมองว่าฉันถูกต้อง ฉันมีธรรม ไปยึดติดเอาว่า “ธรรมะคือความถูกต้อง” เช่น
ความว่างคือธรรมะ ความว่างคือความถูกต้อง ทีนี้ มองภูเขาเป็นความว่างก็ไม่รู้ตัว
ไม่มีสติว่าตนเองเกิดทิฐิวิปลาสขึ้นมาแล้ว
พอจะเห็นภาพไหม?
๒ มีความเป็นเจ้าของธรรมะ
“สัพเพธัมมา
อนัตตา” ธรรมทั้งหลายมิใช่ตัวตนของตน
ผู้ใดหลงว่าธรรมะเป็นตัวตนของตนผู้นั้นย่อมเห็นผิด วิปลาสไป แต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
คนสมัยนี้หลอกคนเก่ง เปลือกนอกทำเนียนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เราดูอาการของการ
“มีความเป็นเจ้าของธรรมะ” ได้หลายอย่างครับ เช่น
จ้องจับผิดเล่นงานคนอื่นราวกับหวงว่าใครจะมาทำอะไรไม่ดีกับธรรมะนั้นของตน,
การปกป้องธรรมะราวกับว่าจะพลีชีพเพื่อมันได้ทั้งๆ
ที่ไม่จำเป็นเพราะมันเป็นนามธรรมอยู่แล้ว อนัตตาอยู่แล้ว, การทำตัวเหมือนตำรวจ
คุมธรรมะแจ ใครจะมาพูดธรรมะนี้ผิดไปไม่ได้ ฯลฯ อาการเหล่านี้
จะแสดงออกแบบแนบเนียนเพื่ออำพรางคนอื่นว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างนั้น
๓ การแสวงหาสาวกพรรคพวก
การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องตัวใครตัวมันเอาตัวรอดกันไป
เราอาจสนทนาธรรมกับคนอื่น บอกเขาได้ แต่เราทำแทนใครไม่ได้
ทุกคนต้องปฏิบัติด้วยตนเอง หากเราไม่เข้าใจตรงนี้เพราะปฏิบัติธรรมพลาด
เราก็จะคิดว่าเราต้องเป็นครู เราต้องมีลูกศิษย์ เราต้องหาสาวกบริวาร
ทำตัวเลียนแบบพระพุทธเจ้าทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า “ขี้กลากจะขึ้นหัว”
ยิ่งกว่านั้น บางคนเตลิดเปิดเปิงขั้นให้คนมารุมล้อมกราบไหว้ตัวเองก็มีครับ นี่คือ
“อาการหลงตัวเอง” แต่ไม่มีสติ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลงตัวเองอยู่
เพราะหลอกตัวเองว่าตัวเองไม่ได้หลง ตัวเองทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้คน มันไม่จริงครับ
“ไม่มีใครช่วยใครได้” ทุกคนต้องปฏิบัติด้วยตัวของเขาเอง
๔ ปฏิกริยาต่อต้านธรรมะแท้จริง
เมื่อปฏิบัติธรรมพลาดแล้ว
“จะกลัวความจริง” กลัวว่าถ้ารู้ว่าตนเองผิดเพี้ยน ปฏิบัติพลาดแล้วจะรับไม่ได้
ไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้ ก็จะเกิด “ปฏิกริยาต่อต้านธรรมะที่แท้จริง” เช่น
ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น, ไม่อ่าน, ไม่กดไลค์, ไม่แชร์ ฯลฯ เพราะรับไม่ได้กับความจริง
หากเข้าไปอ่านแล้วรู้ตัวว่าตัวเองผิดเพี้ยน ก็จะรับไม่ได้ จะเจ็บปวด
คนพวกนี้คือคนอ่อนแอที่แอบซ่อนความอ่อนแอไว้
หลอกลวงคนอื่นด้วยเปลือกนอกที่ตรงกันข้าม ทำเหมือนว่าตัวเองเก่ง กล้าแกร่ง ฯลฯ
แท้จริงแล้วไม่อาจแม้แต่จะเผชิญหน้ากับความจริงว่าตัวเองปฏิบัติธรรมผิดเพี้ยน ปฏิกริยาต่อต้านธรรมะนี้อาจแสดงออกด้วยการ
“แสดงธรรมเพื่อเอาชนะ” อีกฝ่ายก็ได้ครับ
๕ มีความผิดปกติในการดำรงชีวิต
สุดท้าย คนที่ปฏิบัติธรรมผิดเพี้ยนสามารถเกิดผลกระทบต่อชีวิตและการดำรงชีวิตได้
ทำให้มีความผิดปกติในการดำเนินชีวิต เช่น การอยู่ร่วมกับสังคมปกติไม่ได้
ต้องอยู่แต่ในวัดที่ตนชอบ,
ทำงานร่วมกับใครไม่ได้จะมีอาการเอาแต่ใจตัวเองทุกคนต้องยอมฉัน,
อาการเหมือนคนบ้าแต่อำพรางไว้ด้วยธรรม หากเอาเรื่องธรรมออกก็ไม่ต่างจากคนบ้าเลย
ฯลฯ คนที่ปฏิบัติธรรมผิดเพี้ยนนั้นไม่ต่างอะไรกับคนป่วย แต่รักษาได้ยากกว่า
ด้วยการป่วยนั้นมีหมอรักษาได้มากมาย แต่การปฏิบัติธรรมผิดพลาดนั้น “หาคนรักษาให้
ไม่ได้ง่ายๆ” ต้องรีบแก้ไขโดยด่วนครับ เพราะยิ่งปล่อยไว้นานวันก็จะยิ่งมีทิฐิมานะแรง
ดื้อรั้น หลงตัวเองหนักจนแก้ไม่ได้เลย
เป็นคนปกติสนับสนุนพุทธศาสนาก็ได้
ดีกว่าปฏิบัติธรรมผิดครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น