บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน 2, 2018

เกิดเป็นมนุษย์ทำกรรมได้แค่ไหน?

รูปภาพ
แม้หลายท่านจะเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ก็อาจไม่ทราบว่า “มนุษย์ทำอะไรได้บ้างเป็นปกติ” มนุษย์ต้องละเว้นสิ่งใดบ้างเป็นปกติ? การละเว้นเป็นปกติก็คือ “ศีล” ศีลแปลว่าปกติ คือ ปกติของมนุษย์แล้วมนุษย์จะไม่ทำกรรมใดบ้าง? เช่น ไม่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน บทความนี้จะขออธิบายว่ามนุษย์ทำกรรมได้แค่ไหน ดังต่อไปนี้ ๑ มนุษย์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ทำกรรมได้ ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์มาให้เ ป็นพระอิฐพระปูน มนุษย์สามารถทำกรรมได้ จากนั้นมนุษย์ก็ต้องรับกรรมด้วยการป่วยและตายครับ โดยกรรมที่มนุษย์สามารถทำได้นั้นจะไม่มากเกินไป อยู่ในกรอบขอบเขตเรียกว่า “ศิลปะ” มนุษย์สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้ มากกว่านั้นไม่ได้ เช่น ถ้ามนุษย์อยากผ่าร่างมนุษย์ด้วยกันก็ทำไม่ได้ ยกเว้นมนุษย์คนนั้นสำเร็จเป็นเทพ สอบผ่านใบอนุญาติเป็นหมอผ่าตัด จึ ง สามารถทำได้ครับ ทีนี้ หลายท่านอาจสงสัยว่างั้นเราทำงานไม่ได้เลยใช่ไหม? ทำงานได้ครับแต่ไม่ใช่อาชีพ ทำงานศิลปะไงครับ แต่ถ้าทำงานเป็นอาชีพ เช่น ทำเพื่อแลกเงินแบบนี้ไม่ได้ เป็นบาปครับ ไม่ว่าเรียนจบอะไรมาก็เอาไปหากินไม่ได้ ๒ มนุษย์ทำอาชีพไม่ได้ แล้วใครทำได้? พระเจ้าสร้างให้โลกนี้มีมนุษย์ แล้วใ

ร่างของซาตานเป็นอย่างไร?

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้กล่าว ถึง ภาวะการ “สูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์” ไปบ้างแล้ว หลายท่านอาจยังไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจว่าเกิด ขึ้น ได้อย่างไร? และเป็นไปได้อย่างไร? ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมว่าคนเราสูญเสียจิตวิญญาณไปให้ซาตานได้อย่างไร? ร่างซาตานเป็นอย่างไร? และส่งผลอย่างไรตามมา ดังต่อไปนี้ ๑ ร่างซาตานคืออะไร? คือ คนที่สูญเสียจิตวิญญาณความเ ป็นมนุษย์ไป แล้วตกเป็นร่างให้ซาตานใช้ ซาตานนั้นเดิมเป็นเทพสวรรค์อยู่กับพระเจ้ามาก่อน แต่เพราะทำความผิดแล้วหนีการลงทัณฑ์มาอยู่บนโลกมนุษย์ ซาตานก็ล่อลวงมนุษย์เพื่อให้มนุษย์แลกวิญญาณกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ซาตานจะเอาจิตวิญญาณมนุษย์ผู้นั้นไปเป็นทาส แล้วก็ใช้ร่างมนุษย์ผู้นั้นสร้างอาณาจักรของซาตาน เพื่อที่ซาตานจะได้อยู่ในโลกนี้ได้เหมือนเทพสวรรค์ มีข้าทาสรับใช้มากมาย ส่วนมนุษย์นั้นเพราะมีจิตใจอ่อนแอ พวกเขาจึ ง ยอมแลกวิญญาณกับซาตาน โดยไม่รู้ตัว มันจะเกิด ขึ้น โดยไม่รู้ตัวครับ ไม่มีพิธีกรรมอะไรทั้งนั้น เพียงแค่เสี้ยวความคิดเดียวที่เราอ่อนแอ ก็เกิด ขึ้น ได้ครับ ๒ ลักษณะของร่างซาตาน คนที่ตกเป็นร่างซาตานนั้น แม้จะไม่มีความสามารถหรือความดีอะไร อยู่

พุทธะมีได้หลายองค์ในโลก?

รูปภาพ
หลายท่านศึกษามาทางเถรวาทจะไม่เข้าใจเรื่องของพุทธะ เพราะอะไร? เพราะธรรมนั้นมีสามระดับ คือ ระดับสาวกยาน, ปัจเจกยาน และโพธิยาน ผู้ที่จะเข้าใจเรื่องของพุทธะได้จะต้องอยู่ในระดับโพธิยานครับ ดังนี้ สายเถรวาทย่อมไม่เข้าใจเรื่องพุทธะ ย่อมเข้าใจแค่เรื่องอรหันตะ ในบทความนี้จะอธิบาย ดังต่อไปนี้ ๑ พุทธะมีได้หลายองค์? แต่จะมีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่ “ ปกครองธรรมกาล” ส่วนพุทธะองค์อื่น มีหน้าที่อย่างอื่น หรืออาจมีหน้าที่ปกครองธรรมกาลในโลกธาตุอื่น หรือในโลกธาตุนี้แต่ในยุคอื่นครับ หลายคนเข้าใจผิดว่าพุทธะมีได้องค์เดียวเท่านั้น ไม่จริงครับ มีได้ไม่จำกัดแล้วแต่จะสามารถทำได้ ในยุคนี้พระศากยมุนีพุทธะคือผู้ปกครองธรรมกาลของโลกนี้ โดยมิได้ห้ามว่าผู้อื่นจะสำเร็จพุทธะไม่ได้นะครับ สำเร็จพุทธะกันได้ หากมีความสามารถจะทำได้ ทว่า แม้จะมีพุทธะหลายองค์มากมาย แต่จะมีพระศากยมุนีพุทธะองค์เดียวที่ทำกิจปกครองธรรมกาล ตรงนี้พอเข้าใจไหม? โดยพระศากยมุนีจะทรงประทับอยู่พุทธเกษตรไม่ลงมายังโลกครับ ๒ การ ปกครองธรรมกาล พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงตรัสรู้เองโดยชอบอยู่แล้วทุกพระองค์ แต่ทรงรอเวลา ปกครอง

ปัญญากับปรัชญาต่างกันไฉน?

รูปภาพ
หลายท่านศึกษาพุทธศาสนาแต่ยังไม่ใช่ชาวพุทธแท้ ยังเป็นได้แค่ “นักปรัชญาที่ศึกษาพุทธ” เพราะอะไร? เพราะหลายท่านไม่ทราบว่า “การปฏิบัติทางพุทธที่แท้จริงคืออะไร ? ” ไม่ ทราบว่า “ปริยัติ , ปฏิบัติ , ปฏิเวธ” นั้น ทำอย่างไร ? แต่มีวิธีการเรียนรู้ ที่ติดชินมาเหมือนในโร ง เรียนครับ ในบทความนี้จะอธิบาย ดังต่อไปนี้ ๑ ปั ญญาไม่ใช่ความรู้อยู่แล้ว สิ่งที่รู้มาก่อนแล้ว รู้อยู่แล้ว คือ ความรู้ สิ่งที่รอการพิสูจน์ว่าถูกต้องไหม? เ ป็นความรู้ได้ไหม? คือ ปรัชญา ที่ใครๆ จะมีปรัชญาของตัวเอง แตกต่างกันไปอย่างไรก็ได้ ส่วนปัญญานั้นไม่ใช่สิ่งที่รู้อยู่แล้ว หรือปรัชญาที่มีอยู่แล้วกำลังรอการพิสูจน์ก็หาไม่ ปัญญาแท้จริงมันไม่ได้รู้อะไรเลย แต่มันจะเกิด ขึ้น ฉับพลันในสถานการณ์นั้นๆ อย่างเหมาะสมลงตัว ในขณะที่ปรัชญาเป็นสิ่งที่เกิดมาก่อนแล้วจากอดีต รอการพิสูจน์ รอการยอมรับ ดังนั้น ปัญญาจึ ง ต้องเป็นปัจจุบันเท่านั้น แต่ปรัชญาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในหัว ค้างคาอยู่ในใจ มาแต่อดีต แล้วเอามาพล่ามพ่นให้คนอื่นเขาต้องยอมจำนน ยอมรับในความคิด ความเชื่อของตน จนต้องถกเถียงกันมากมาย ๒ ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ถ่ายทอดได้ ปั ญญ

การปฏิบัติ “ธรรมปัจจุบัน”

รูปภาพ
หลายท่านปฏิบัติธรรมแบบ “ปัจจุบันขณะ” มา แล้วติดอยู่กับลมหายใจจนไม่อยู่กับชีวิตจริงในปัจจุบันก็มี แท้แล้ว “ธรรมปัจจุบัน” มันไม่เกี่ยวว่าต้องอยู่ที่ลมหายใจเลยครับ มันคือทุกอย่างที่เกิดดับในชีวิตปัจจุบันเรานี่แหละ ในบทความนี้จะอธิบายเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของหลายๆ ท่านในธรรมปัจจุบัน ดังต่อไปนี้ ๑ เลิกพูด ธรรม ะ  พูดแต่เรื่องที่ทำจริง ข้อแรกนี้สำคัญมากนะครับ เราต้องเลิกนิสัย “ดีแต่พูด” แต่ทำจริงไม่ได้ การจะเ ป็นนักปฏิบัติที่ดีได้นั้น เราจะต้องเน้นการทำจริง ไม่ใช่ดีแต่พูดครับ ทั้งนี้ ไม่ได้จะห้าม ไม่ให้พูดเลย แต่ให้พูดในสิ่งที่เราทำจริง เราทำได้จริงๆ ก็พอ สิ่งไหนที่เรายังไม่ได้ทำจริง หรือทำไม่ได้จริง ก็อย่าเอามาพูด ธรรมะที่อยู่ในตำรา ในหลักการ ในปรัชญาอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องสนใจทั้งนั้น หากเราปฏิบัติไม่ได้จริง พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ นับเป็นการพูดเรื่องไร้สาระครับ เช่น เรื่องนิพพานอะไรถ้าเรายังทำไม่ได้จริง ไม่ต้องเอามาพูด เรื่องชีวิตจริงของเราแต่ละวัน ทำอะไร แล้วมีสติอยู่กับมันได้อย่างไร? แบบนี้ควรพูด เช่น ไปร้านขายสินค้ามา แล้วมีสติไม่หลง เป็นต้น ๒ เอาชีวิตจริงมาเ ป็นโจทย์เจริ

นิพพานไม่ใช่ความหายสูญ

รูปภาพ
เรื่องนิพพานไม่สูญนี้ได้กล่าวไว้บ่อยแล้ว แต่จะขอกลับมาอธิบายอีกครั้ง ไม่ว่าจะอธิบายเรื่องจักรวาลอะไรที่ไกลออกไป สุดท้าย ผู้เขียนจะกลับมาสู่พื้นฐานคือสัจธรรม คือเรื่องของนิพพานบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผู้อ่านไปไกลเกินจนหลุด หลงทางครับ ในบทความนี้จะขอกล่าว ถึง เรื่อง “นิพพานไม่ใช่ความหายสูญ” ดังต่อไปนี้ ๑ คุณไม่อาจสูญหาย ไป ได้ สสารและพลังงานไม่สูญหายไ ปไหน มันเพียงแค่แปรเปลี่ยนสภาพไปเท่านั้น เฉกเช่น สังขารร่างกายนี้ มันก็ไม่ได้สูญหายแม้เราตายลง มันแค่แปรเปลี่ยนเป็นธาตุต่างๆ สลายลงกลายเป็นดิน, น้ำ, ลม, ไฟ เท่านั้นเอง การตื่นแจ้งในนิพพานไม่ใช่การสูญหายของสิ่งใด แต่เป็นเรื่องของจิตที่ตื่นแจ้งในสัจธรรม ในนิพพานว่าคืออะไรก็เท่านั้น สุดท้ายแล้ว สิ่งต่างๆ ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง มิใช่ว่าพอเราตื่นแจ้งในนิพพานแล้วโลกก็หายลับไปซะที่ไหนกัน โลกก็ยังเป็นเช่นนั้นของมันเอง อนิจจัง อนัตตา เช่นนั้นเอง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็เพียงแค่จิตเรา ที่เดิมยังไม่ตื่นแจ้งในนิพพาน กลายเป็นตื่นแจ้งในนิพพานก็เท่านั้น เราจึ ง ไม่ได้สูญหายไปไหนเพราะนิพพาน ๒ อนัตตาไม่ใช่ว่างเ ปล่าหายสูญ เราทุกคนมีลักษณะอนิจจัง อนัตต

การกระทำโดยไม่กระทำ?

รูปภาพ
คนที่หลุดพ้นแล้วจะยุ่งเรื่องทางโลกอีกได้หรือไม่? หลายคนอาจมีคำถามแบบนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการที่จะหลุดพ้นแล้วเขาจะไม่ยุ่งแล้วครับ เช่น พระอรหันต์ แต่สำหรับท่านที่ไม่รีบ สามารถเข้ามายุ่งได้เช่นกัน เช่น พระโพธิสัตว์ แต่การที่จะเข้าไปยุ่งกรรมของคนอื่นหรือระบบใดๆ เราต้องมีภูมิปัญญาที่ดีก่อน ดังต่อไปนี้ ๑ พลังงานพัวพันในระบบ หากคุณหลุดพ้นจากระบบที่ต่ำกว่ามาสู่ระบบที่สูงกว่าได้แล้ว คุณจะต้องไม่เข้าไ ปยุ่งเกี่ยวกับระบบที่ต่ำกว่านั้นอีก เพราะอะไร? เพราะพลังงานในระบบนั้นมันจะผูกมัดตัวคุณให้ตกต่ำลงไปได้อีกครับ คุณต้องอุเบกขาอย่างเดียว เหมือนพระที่ไม่ยุ่งเรื่องทางโลกแล้วนั่นแหละ แต่ถามว่าพระไม่ยุ่งเรื่องอะไรเลย และทำอะไรไม่ได้เลย ใช่ไหม? ไม่ใช่ครับ พระบางรูปท่านแค่ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก แต่เรื่องอีกมิติ อีกภพภูมิท่านจะยุ่งด้วยก็ได้ แต่ต้องยอมรับก่อนว่าหากเราเอาตัวเองเข้าไปพัวพันในระบบใดก็แล้วแต่ เราก็จะมีพลังงานกรรมยึดโยงให้เราติดอยู่ในระบบนั้น ระดับนั้นๆ เช่น ถ้าเข้าไปทำกรรมเกี่ยวข้องกับสวรรค์ ก็ผูกติดกับสวรรค์ด้วย ๒ การกระทำนอกระบบ เหมือนเราเลี้ยง ปลาในบ่อ เราไม่ได้อยู่ในบ่อ เราอ