ปัญญากับปรัชญาต่างกันไฉน?




หลายท่านศึกษาพุทธศาสนาแต่ยังไม่ใช่ชาวพุทธแท้ ยังเป็นได้แค่ “นักปรัชญาที่ศึกษาพุทธ” เพราะอะไร? เพราะหลายท่านไม่ทราบว่า “การปฏิบัติทางพุทธที่แท้จริงคืออะไร?” ไม่ทราบว่า “ปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวธ” นั้นทำอย่างไร? แต่มีวิธีการเรียนรู้ ที่ติดชินมาเหมือนในโรเรียนครับ ในบทความนี้จะอธิบาย ดังต่อไปนี้

ปัญญาไม่ใช่ความรู้อยู่แล้ว
สิ่งที่รู้มาก่อนแล้ว รู้อยู่แล้ว คือ ความรู้ สิ่งที่รอการพิสูจน์ว่าถูกต้องไหม? เป็นความรู้ได้ไหม? คือ ปรัชญา ที่ใครๆ จะมีปรัชญาของตัวเอง แตกต่างกันไปอย่างไรก็ได้ ส่วนปัญญานั้นไม่ใช่สิ่งที่รู้อยู่แล้ว หรือปรัชญาที่มีอยู่แล้วกำลังรอการพิสูจน์ก็หาไม่ ปัญญาแท้จริงมันไม่ได้รู้อะไรเลย แต่มันจะเกิดขึ้นฉับพลันในสถานการณ์นั้นๆ อย่างเหมาะสมลงตัว ในขณะที่ปรัชญาเป็นสิ่งที่เกิดมาก่อนแล้วจากอดีต รอการพิสูจน์ รอการยอมรับ ดังนั้น ปัญญาจึต้องเป็นปัจจุบันเท่านั้น แต่ปรัชญาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในหัว ค้างคาอยู่ในใจ มาแต่อดีต แล้วเอามาพล่ามพ่นให้คนอื่นเขาต้องยอมจำนน ยอมรับในความคิด ความเชื่อของตน จนต้องถกเถียงกันมากมาย

ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ถ่ายทอดได้
ปัญญาไม่ใช่ความรู้ แต่ปัญญาของคนๆ หนึ่งอาจได้รับการถ่ายทอดเป็นความรู้ให้ชนรุ่นหลังเรียนรู้ได้ ทว่า สองสิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเรียนแบบธนาคารคือ การที่คนรุ่นที่แล้วฝากความรู้เอาไว้ แล้วให้ครูถ่ายทอดต่อให้คนรุ่นต่อๆ ไป การถ่ายทอดความรู้ต่อๆ กันนี้ ไม่ใช่ปัญญา สิ่งที่ต่ำกว่าความรู้ไปอีกคือ ปรัชญา ด้วยปรัชญานั้นคือสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง ใช้ได้จริงหรือไม่? แต่ความรู้นั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ถ่ายทอดต่อไปได้ คนที่มีปรัชญามาก อาจคิดผิดก็ได้ ด้วยยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าความคิดนั้นใช้ได้จริงแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น บางคนยังไม่ได้มีความคิดของตัวเอง แต่ใช้การอ่านมาหลายๆ แหล่งเท่านั้นเอง

๓ ปัญญาไม่ใช่การคิดเอาไว้ก่อน
ในขณะที่ปรัชญาคือการคิดเอาไว้ก่อน เช่น คิดว่านิพพานคืออย่างนั้นๆ, อรหันต์คืออย่างนี้ๆ, สัจธรรมต้องมีลักษณะอย่างโน้นๆ ฯลฯ ว่าไป ลักษณะที่มี “การคิดเอาไว้ก่อน” แบบนี้ล้วนเป็นปรัชญาทั้งสิ้น ไม่ใช่ปัญญา หลายท่านชอบ “คิดเอาไว้ก่อน” หรือมี “ความคิดเห็นอยู่ก่อนแล้วในใจ” สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปรัชญาครับ มิใช่ปัญญา ทั้งยังเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ก่อนด้วย (ซตพ.) ส่วนความรู้นั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้ว เราสามารถที่จะอ้างอิงแหล่งความรู้นั้นมาใช้ได้เลย เช่น จากสมการของไอสไตน์ ... ว่าไป หลายท่านยังไม่มีปัญญาทั้งยังไม่รู้ว่าอะไรคือปัญญาที่แท้จริงเลย แค่เคยมีความรู้จากการเรียน แล้วมานั่งคิดปรัชญาของตนเองเท่านั้นเอง

๔ การนั่งคิดไม่ใช่วิปัสสนา
การทำวิปัสสนาไม่ใช่การนั่งคิดปรัชญา หลายท่านชอบอ่านธรรมะแล้วเอาไปนั่งคิดกัน แล้วคิดว่านี่คือการปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว ไม่ใช่นะครับ นั่นเขาเรียกว่า “วิปัสสนึก” การทำวิปัสสนานั้นจะต้องทำให้ว่างจากการคิดให้ได้ก่อน เขาเรียกว่า “รูปนามดับหมด” เมื่อรูปนามดับหมด มันก็เหมือนไม่มีความคิดอะไรเลย ไม่รู้สิ่งใดเลย เหมือนเด็กทารกแบเบาะ เกิดมาตาแป๋วๆ ไม่รู้ห่าอะไรทั้งนั้น เหมือนเกิดใหม่เลย จากนั้น ความจริงก็จะปรากฎตัวมันเองอย่างใสๆ ไร้การปรุงแต่งจากการคิดนึกใดๆ นี่เรียกว่าวิปัสสนา นักวิปัสสนึกทั้งหลายจะได้ปรัชญาออกมามากมาย ทว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ความถูกต้องอะไรมาก่อนทั้งนั้นเลยครับ

๕ นักปรัชญาไม่ใช่นักปฏิบัติ
การปฏิบัติธรรมในทางพุทธนั้น มิใช่การนั่งคิดนึกอะไรทั้งนั้น แบบนั้นคือพวกเพ้อฝัน คิดว่าจะคิดค้นธรรมะอะไรของตัวเองได้สักอย่าง จากนั้นพอได้ปรัชญาของตัวเองแล้วก็เอาไปพล่ามใส่คนนั้นคนนี้ ยัดเยียดให้เขาต้องเชื่อเรา ทะเลาะถกเถียงอะไรกันวุ่นวาย หาที่ยุติไม่ได้เลย นี่แหละ นักปรัชญาที่ไร้การปฏิบัติแบบพุทธ ถ้าเขาปฏิบัติแบบพุทธ เขาจะไม่วุ่นวาย ถกเถียงเอาชนะกันแบบนั้น เขาย่อมมีจิตสงบระงับด้วยดี แบบนี้สิ จะเรียกว่านักปฏิบัติสายพุทธ ยุคนี้มีพวกบ้าปรัชญา คิดธรรมะเองอยู่เยอะ แล้วเอาไปพล่ามพูดยัดเยียดให้คนในสื่อ ในเฟสวุ่นวายไปหมด หลายคนคิดว่าตนเป็นพุทธ จริงๆ แล้วเป็นแค่นักปรัชญาที่สนใจพุทธครับ

นักปฏิบัติแท้ๆ เหมือนคนโง่ ส่วนนักปรัชญาจะเหมือนคนฉลาดครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?