ปัญญากับปรัชญาต่างกันไฉน?
หลายท่านศึกษาพุทธศาสนาแต่ยังไม่ใช่ชาวพุทธแท้
ยังเป็นได้แค่ “นักปรัชญาที่ศึกษาพุทธ” เพราะอะไร? เพราะหลายท่านไม่ทราบว่า “การปฏิบัติทางพุทธที่แท้จริงคืออะไร?” ไม่ทราบว่า
“ปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวธ” นั้นทำอย่างไร? แต่มีวิธีการเรียนรู้
ที่ติดชินมาเหมือนในโรงเรียนครับ ในบทความนี้จะอธิบาย ดังต่อไปนี้
๑ ปัญญาไม่ใช่ความรู้อยู่แล้ว
สิ่งที่รู้มาก่อนแล้ว
รู้อยู่แล้ว คือ ความรู้ สิ่งที่รอการพิสูจน์ว่าถูกต้องไหม? เป็นความรู้ได้ไหม?
คือ ปรัชญา ที่ใครๆ จะมีปรัชญาของตัวเอง แตกต่างกันไปอย่างไรก็ได้ ส่วนปัญญานั้นไม่ใช่สิ่งที่รู้อยู่แล้ว
หรือปรัชญาที่มีอยู่แล้วกำลังรอการพิสูจน์ก็หาไม่ ปัญญาแท้จริงมันไม่ได้รู้อะไรเลย
แต่มันจะเกิดขึ้นฉับพลันในสถานการณ์นั้นๆ
อย่างเหมาะสมลงตัว ในขณะที่ปรัชญาเป็นสิ่งที่เกิดมาก่อนแล้วจากอดีต รอการพิสูจน์
รอการยอมรับ ดังนั้น ปัญญาจึงต้องเป็นปัจจุบันเท่านั้น
แต่ปรัชญาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในหัว ค้างคาอยู่ในใจ มาแต่อดีต
แล้วเอามาพล่ามพ่นให้คนอื่นเขาต้องยอมจำนน ยอมรับในความคิด ความเชื่อของตน
จนต้องถกเถียงกันมากมาย
๒ ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ถ่ายทอดได้
ปัญญาไม่ใช่ความรู้ แต่ปัญญาของคนๆ หนึ่งอาจได้รับการถ่ายทอดเป็นความรู้ให้ชนรุ่นหลังเรียนรู้ได้
ทว่า สองสิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเรียนแบบธนาคารคือ
การที่คนรุ่นที่แล้วฝากความรู้เอาไว้ แล้วให้ครูถ่ายทอดต่อให้คนรุ่นต่อๆ ไป
การถ่ายทอดความรู้ต่อๆ กันนี้ ไม่ใช่ปัญญา สิ่งที่ต่ำกว่าความรู้ไปอีกคือ ปรัชญา
ด้วยปรัชญานั้นคือสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง ใช้ได้จริงหรือไม่?
แต่ความรู้นั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ถ่ายทอดต่อไปได้ คนที่มีปรัชญามาก
อาจคิดผิดก็ได้ ด้วยยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าความคิดนั้นใช้ได้จริงแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนยังไม่ได้มีความคิดของตัวเอง แต่ใช้การอ่านมาหลายๆ
แหล่งเท่านั้นเอง
๓ ปัญญาไม่ใช่การคิดเอาไว้ก่อน
ในขณะที่ปรัชญาคือการคิดเอาไว้ก่อน
เช่น คิดว่านิพพานคืออย่างนั้นๆ, อรหันต์คืออย่างนี้ๆ, สัจธรรมต้องมีลักษณะอย่างโน้นๆ
ฯลฯ ว่าไป ลักษณะที่มี “การคิดเอาไว้ก่อน” แบบนี้ล้วนเป็นปรัชญาทั้งสิ้น ไม่ใช่ปัญญา
หลายท่านชอบ “คิดเอาไว้ก่อน” หรือมี “ความคิดเห็นอยู่ก่อนแล้วในใจ”
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปรัชญาครับ มิใช่ปัญญา ทั้งยังเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ก่อนด้วย
(ซตพ.) ส่วนความรู้นั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้ว
เราสามารถที่จะอ้างอิงแหล่งความรู้นั้นมาใช้ได้เลย เช่น จากสมการของไอสไตน์ ...
ว่าไป หลายท่านยังไม่มีปัญญาทั้งยังไม่รู้ว่าอะไรคือปัญญาที่แท้จริงเลย
แค่เคยมีความรู้จากการเรียน แล้วมานั่งคิดปรัชญาของตนเองเท่านั้นเอง
๔ การนั่งคิดไม่ใช่วิปัสสนา
การทำวิปัสสนาไม่ใช่การนั่งคิดปรัชญา
หลายท่านชอบอ่านธรรมะแล้วเอาไปนั่งคิดกัน แล้วคิดว่านี่คือการปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว
ไม่ใช่นะครับ นั่นเขาเรียกว่า “วิปัสสนึก” การทำวิปัสสนานั้นจะต้องทำให้ว่างจากการคิดให้ได้ก่อน
เขาเรียกว่า “รูปนามดับหมด” เมื่อรูปนามดับหมด มันก็เหมือนไม่มีความคิดอะไรเลย
ไม่รู้สิ่งใดเลย เหมือนเด็กทารกแบเบาะ เกิดมาตาแป๋วๆ ไม่รู้ห่าอะไรทั้งนั้น
เหมือนเกิดใหม่เลย จากนั้น ความจริงก็จะปรากฎตัวมันเองอย่างใสๆ ไร้การปรุงแต่งจากการคิดนึกใดๆ นี่เรียกว่าวิปัสสนา
นักวิปัสสนึกทั้งหลายจะได้ปรัชญาออกมามากมาย
ทว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ความถูกต้องอะไรมาก่อนทั้งนั้นเลยครับ
๕ นักปรัชญาไม่ใช่นักปฏิบัติ
การปฏิบัติธรรมในทางพุทธนั้น
มิใช่การนั่งคิดนึกอะไรทั้งนั้น
แบบนั้นคือพวกเพ้อฝัน คิดว่าจะคิดค้นธรรมะอะไรของตัวเองได้สักอย่าง จากนั้นพอได้ปรัชญาของตัวเองแล้วก็เอาไปพล่ามใส่คนนั้นคนนี้
ยัดเยียดให้เขาต้องเชื่อเรา ทะเลาะถกเถียงอะไรกันวุ่นวาย หาที่ยุติไม่ได้เลย
นี่แหละ นักปรัชญาที่ไร้การปฏิบัติแบบพุทธ ถ้าเขาปฏิบัติแบบพุทธ เขาจะไม่วุ่นวาย
ถกเถียงเอาชนะกันแบบนั้น เขาย่อมมีจิตสงบระงับด้วยดี แบบนี้สิ จะเรียกว่านักปฏิบัติสายพุทธ
ยุคนี้มีพวกบ้าปรัชญา คิดธรรมะเองอยู่เยอะ แล้วเอาไปพล่ามพูดยัดเยียดให้คนในสื่อ
ในเฟสวุ่นวายไปหมด หลายคนคิดว่าตนเป็นพุทธ จริงๆ แล้วเป็นแค่นักปรัชญาที่สนใจพุทธครับ
นักปฏิบัติแท้ๆ เหมือนคนโง่ ส่วนนักปรัชญาจะเหมือนคนฉลาดครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น