บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน 18, 2018

พ่อแม่ลูกนั่นแหละเจ้ากรรมนายเวร

รูปภาพ
“กรรมเป็นเรื่องอจิณไตย” ไม่อาจใช้การคิดการคาดเดาเอาได้ แต่สามารถหยั่ง ถึง ได้ด้วย “ญาณ” ครับ ซึ่ง ญาณที่ว่านี้จะไม่ได้มีทุกคน แม้แต่พระอรหันต์บางรูปก็ไม่มี ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึ ง ไม่ให้ไปคิดเรื่องนี้กันเอาเอง ในบทความนี้ ขออธิบายเป็นตัวอย่างว่ากรรมนั้นยุ่งยากและซับซ้อนอย่างไรบ้าง? ดังต่อไปนี้ ๑ การหยิบยืมสมมุติและเคารพสมมุติ “สมมุติธรรม” คือ ธรรมะธรรมชาติอย่างหนื่ง เหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มสัจธรรมความจริงแท้ไว้เป็นแก่นภายใน ในทุกสมมุติย่อมมีวิมุติ แลในทุกเปลือกย่อมมีแก่น ดังนั้น จะละเลยสมมุติธรรมไม่ได้ แต่จะหลงสมมุติธรรมว่าเป็นแก่นแท้ก็ไม่ได้เช่นกัน เรื่องกรรมก็เช่นกัน กรรมนั้นใช้สมมุติธรรมเป็นเครื่องห่อหุ้มเพื่อการชำระกรรมกัน เช่น ใช้สมมุติความเป็นพ่อ, ลูก เพื่อให้คนสองคนชำระกรรม ชดใช้กรรมกัน เพราะหากไม่ใช้สมมุติธรรมเช่นนี้แล้ว คนสองคนอาจไม่ยอมอโหสิกรรมต่อกันก็ได้ ดังนั้น อย่าได้หลงสมมุติมากไป บางคนหลงลูก - เมียมาก, บางคนหลงพ่อแม่มาก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมมุติ และอดีตชาติคนเหล่านี้ก็มักทำกรรมต่อกันมา ๒ การชำระกรรมมีระบบไม่ใช่ตามเวรตามกรรม สัตว์ทั้งหลายที่มีเว

การขยายพันธุ์ของปีศาจ

รูปภาพ
ในหลายๆ บทความก่อนหน้านี้ได้อธิบายว่าคนอาจไม่ใช่มนุษย์ไปบ้างแล้ว เพราะหากคนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปมากๆ จนไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกเลย พวกเขาอาจตกเป็น “ร่างหุ่น” ของสิ่งมีชีวิตอีกมิติได้ ในบทความนี้ จะขออธิบายว่า “มนุษย์ร่างหุ่น” ที่ตกเป็นร่างของปีศาจ มีการขยายเผ่าพันธุ์อย่างไร ดังต่อไปนี้     ๑ การครอบงำให้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อคนเราทำกรรมชั่วอันหนักมากพอ ก็จะเสื่อมไ ปเกิดเป็นปีศาจได้ ปีศาจต้องการขยายบริวารเผ่าพันธุ์ของตน เพื่อสร้างอำนาจในการดำรงอยู่ในโลกนี้ เพราะปีศาจไม่ได้มีบุญอยู่สุขสบายเหมือนเทวดา พวกนี้อยากมีชีวิตเหมือนเทพก็สร้างอำนาจด้วยการขยายเผ่าพันธุ์ ทำให้มนุษย์เสื่อมเป็นปีศาจเหมือนกับตน ปีศาจจะรู้ว่ามนุษย์คิดอะไร ต้องการอะไร ก็จะอาศัยการอ่านความคิดของคนเพื่อหลอกให้ทำกรรมให้เสื่อม เช่น การทำกรรมกับคนที่ไม่ควรกระทำ เพียงเพราะเขาอาจเป็นคนที่ดูต่ำต้อย เปลือกนอกไม่มีอะไรดี ปีศาจก็หลอกเราว่าเล่นงานคนๆ นี้แหละ ง่ายดี ที่ไหนได้ คนๆ นั้นอาจมีบารมีธรรมมากก็ได้ นี่คือ วิธีหลอกของพวกปีศาจ ๒ การแทนที่อยู่ในร่างของคน เมื่อมิติที่ปีศาจถูกกักอยู่ได้แตกออกหรือเปิดออกมาแล

ภูมิปัญญาแห่ง “การเลื่อนระดับและความหลุดพ้น”

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าว ถึง มนุษย์และการกระทำของมนุษย์ที่เรียกว่า “ศิลปะ” ไปแล้ว ถามว่ามนุษย์จะทำงานศิลปะไปทำไม? คำตอบก็คือ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูง ขึ้น นั่นเอง ถามว่าทำไมต้องยกระดับให้สูง ขึ้น ด้วย? คำตอบค่อนข้างซับซ้อนทีเดียวครับ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ ๑ จิตมีระดับที่แตกต่างกัน? จิตคือมโนธาตุหรือธาตุรู้เหมือนกันหมด แต่มีระดับในการหยั่งรู้ไม่เท่ากันเรียกว่า “ญาณ” เช่น พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูญาณ แต่จิตของพระอรหันตสาวกไม่มี มีแต่อาสวักขยญาณ เพราะจิตมีระดับที่ต่างกันนี่เองจึ ง ถูกโครงข่ายพลังงานที่เรียกว่า “ภพ” กั้นไว้ให้อยู่ในระดับที่ต่างกัน เช่น ภพนรก, ภพสวรรค์ แม้แต่สวรรค์ในโลกนี้ยังมีโครงข่ายพลังงานแบ่งกันเป็นชั้นๆ ได้หกชั้น หากคนไม่เข้าใจเรื่องจิต จะหลงคิดว่าจิตเหมือนกันหมด เป็นพุทธะอยู่แล้วทั้งหมด อันนี้ไม่จริงครับ จิตมีระดับที่ไม่เท่ากัน สูงต่ำต่างกันดังอธิบายมาแล้วนั้นๆ ดังนั้น จิตที่อยู่ในระดับต่ำนั้น จะต้องผ่าน “การเลื่อนระดับ” ไปสู่ระดับที่สูงก่อน จึ ง จะเป็น “จิตพุทธะ” ได้ น ๒ การเลื่อนระดับคืออะไร? การเลื่อนระดับคือ การพัฒนาการของจ

ธรรมะกับการวิวัฒนาการ

รูปภาพ
การวิวัฒนาการเป็นเรื่องธรรมชาติอย่าง หนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอแนวคิดเรื่องการวิวัฒนาการมากมาย ทว่า ขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์ก็ยังมีอยู่ ดังนั้น การใช้ความหยั่งรู้นำทางเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านนี้ต่อไป จึ ง จำเป็นต้องมี ในบทความนี้จะขอกล่าว ถึง “การวิวัฒนาการ” ในมุมมองของนักปฏิบัติธรรมบ้างดังต่อไปนี้     ๑ การวิวัฒนาการมีระดับใดบ้าง? วิทยาศาสตร์ในโลกนี้มีทั้งวิชาที่เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุสสารและพลังงาน การวิวัฒนาการของสัตว์ก็เกิดได้สองมิติคือ ทั้งมิติของวัตถุสสารและพลังงานด้วยเช่นกัน ทว่า ในแง่ของนักชีววิทยาแล้วยังไม่ได้เรียนรู้ทั้งสองมิตินี้ดีนัก ในบทความนี้จะขอกล่าวนำการเรียนรู้เพื่อเ ปิดมุมมองเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในอนาคต กล่าวคือ ในการวิวัฒนาการนั้นจะมีการวิวัฒนาการทั้งระดับพลังงานและระดับวัตถุสสารแต่ทั้งสองอย่างนี้อาจไม่พร้อมกัน การวิวัฒนาการในระดับพลังงานจะเกิดก่อน จากนั้นก็จะนำไปสู่การวิวัฒนาการทางวัตถุสสารภายหลัง การวิวัฒนาการในระดับพลังงานอาจเกิดได้ขณะยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย ซึ่ง ในบทความนี้จะได้กล่าวต่อไป ๒ การวิวัฒนาการระดับพลังงาน การวิวัฒนาการในระดับพลัง

ไม่จำเป็นต้องถูกหรือดี?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายบ่อยๆ ว่า “ไม่มีถูกผิดดีชั่ว” อันแท้จริง ความถูกผิดดีชั่วทั้งหลายล้วนมาจากเราเองทั้งนั้นที่ “ไปให้ค่า, ตัดสิน, พิพากษา” เอา อุปทานเอาเอง ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความต่อในหัวข้อที่ว่า “ไม่จำเป็นต้องถูกหรือดี” ว่าทำไมจึ ง ไม่จำเป็นต้องถูกต้องหรือเป็นคนดีในสายตาใคร ดังต่อไปนี้     ๑ เราถูกสอนให้รับความเชื่อ? เมื่อมนุษย์เกิดมานั้นยังมิได้ตรัสรู้ มิได้พบพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ใด เรามีแต่พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ ที่ไม่รู้แจ้งเห็นจริง พวกเขาก็สอนเราโดยใช้ความเชื่อต่อๆ กันมา ถ่ายทอดให้เราอีกที เราจึ ง ถูกสอนให้รับความเชื่อ มิได้ถูกสอนให้ “รับความจริง” ความจริงกับความเชื่อเป็นคนละสิ่งกันอาจสอดคล้องหรือขัดแย้งกันก็ได้ ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของเราที่ถูกสอนมานั้นย่อมมิใช่ “การศึกษาที่แท้จริง” และยังมิใช่สัจธรรม เราจะต้องล้างบางความเชื่อเหล่านี้ของเราเองให้เป็น “สุญตา” ก่อนที่จะเปิดรับสัจธรรมความจริงได้ ผู้เขียนได้อธิบายไว้บ่อยๆ ให้บทความอื่นแล้ว ในบทความนี้ก็จะขออธิบายต่อไปในเรื่อง “ไม่จำเป็นต้องถูกหรือดี” ๒ ความถูกผิดดีชั่วที่ถูกสอนมา ความถูกผิดด

อภิสิทธิชนและการให้อภิสิทธิ์

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวถึงระบบแมททริกซ์ของโลกนี้แล้ว ในบทความนี้จะอธิบายต่อไปเรื่องอภิสิทธิชน ซึ่งหลายท่านอาจยังไม่เข้าใจทำให้เกิดความขัดแย้งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต่อต้านอภิสิทธิชน อีกฝ่ายต้องการหนุนอภิสิทธิชน ดังนั้น เราควรจะกลับมาทำความเข้าใจร่วมกันในประเด็นนี้ ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ ทำไมต้องให้อภิสิทธิ์แก่บางคน? มนุษย์มีความแตกต่างหลากหลายเป็นธรรมดา และภายใต้ความแตกต่างหลากหลายนี้ มนุษย์บางคนก็มาจากเทพ บางคนก็มาจากสัตว์ชั้นต่ำ ไม่เหมือนกัน จิตใจสูงต่ำไม่เท่ากัน การให้อภิสิทธิ์นั้นมิใช่ให้จนกระทบต่อระบบหรือระบอบการปกครอง เช่น ให้ฮ่องเต้สามารถทำผิดกฏหมายอะไรก็ได้ แบบนั้นไม่ถูกต้องแน่นอน การให้อภิสิทธิ์แก่คนบางคนที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น การลุกให้คนท้องได้มีที่นั่งในรถโดยสาร เห็นไหมครับมันมี “อภิสิทธิชน” อยู่ในสังคมมนุษย์แน่นอน หรือแม้แต่การที่เราให้พระนั่งที่สูงแล้วฆราวาสนั่งต่ำกว่า นั่นก็คือ รูปแบบ หนึ่ง ของการมีอภิสิทธิ์ ทว่า หากคุณไม่เข้าใจ คุณอาจสร้างระบบอภิสิทธิ์จนทำลายระบบปกติก็ได้ ๒ ใครที่จัดเป็นอภิสิทธิชนได้บ้าง? “มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะได้รับ “อภิ

ระบบชนชั้นในธรรมปัจจุบัน

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าว ถึง ระบบแมททริกซ์ของโลกนี้แล้ว ในบทความนี้จะอธิบายต่อไปเรื่องระบบชนชั้น ซึ่ง หลายท่านอาจยังไม่เข้าใจทำให้เกิดความขัดแย้งเป็นสองฝ่าย ฝ่าย หนึ่ง ต้องการล้มระบบชนชั้น อีกฝ่ายต้องการฟื้นฟูระบบชนชั้น ดังนั้น เราควรจะกลับมาทำความเข้าใจร่วมกันในประเด็นนี้ ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ ระบบชนชั้นในธรรม ปัจจุบัน อย่างแรกขอให้เข้าใจก่อนว่ามนุษย์มีความแตกต่างหลากหลายตามธรรมชาติคือเรื่อง หนึ่ง แต่คนที่สร้างชนชั้นวรรณะก็อีกเรื่อง หนึ่ง สองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ผู้เขียนกำลังอธิบายให้คุณยอมรับความจริงของความแตกต่างหลากหลายอันเป็นสัจธรรมความจริงให้ได้ แต่ไม่ได้ต้องการระบบชนชั้นวรรณะที่พังไปแล้ว ไม่ได้ที่จะรื้อฟื้นมันมาอีก หากคุณไม่เข้าใจมนุษย์, ระบบการปกครอง คุณทำให้ทุกคนเท่ากัน ก็เท่ากับคุณทำลายความหลากหลายทางธรรมชาติของมนุษย์ คุณจะปกครองคนได้ต้องเข้าใจความแตกต่างหลากหลายก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องไปสร้างระบบชนชั้นวรรณะ ขึ้น มาครับ คนเราต่างกัน “ที่จิตใจ” เหมือนพีรามิดที่มีหลายชั้น ๒ ชนชั้นลูกค้า “ลูกค้าคือพระเจ้า” นี่คือ คำสอนของพวกฝรั่งไม่ใช่คนไทยไม่ใช่ชาวพุทธ ดัง