ไม่จำเป็นต้องถูกหรือดี?
ในบทความก่อนๆ
ได้อธิบายบ่อยๆ ว่า “ไม่มีถูกผิดดีชั่ว” อันแท้จริง
ความถูกผิดดีชั่วทั้งหลายล้วนมาจากเราเองทั้งนั้นที่ “ไปให้ค่า, ตัดสิน, พิพากษา”
เอา อุปทานเอาเอง ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความต่อในหัวข้อที่ว่า “ไม่จำเป็นต้องถูกหรือดี”
ว่าทำไมจึงไม่จำเป็นต้องถูกต้องหรือเป็นคนดีในสายตาใคร
ดังต่อไปนี้
๑ เราถูกสอนให้รับความเชื่อ?
เมื่อมนุษย์เกิดมานั้นยังมิได้ตรัสรู้
มิได้พบพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ใด เรามีแต่พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ
ที่ไม่รู้แจ้งเห็นจริง พวกเขาก็สอนเราโดยใช้ความเชื่อต่อๆ กันมา
ถ่ายทอดให้เราอีกที เราจึงถูกสอนให้รับความเชื่อ
มิได้ถูกสอนให้ “รับความจริง” ความจริงกับความเชื่อเป็นคนละสิ่งกันอาจสอดคล้องหรือขัดแย้งกันก็ได้
ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของเราที่ถูกสอนมานั้นย่อมมิใช่ “การศึกษาที่แท้จริง”
และยังมิใช่สัจธรรม เราจะต้องล้างบางความเชื่อเหล่านี้ของเราเองให้เป็น “สุญตา”
ก่อนที่จะเปิดรับสัจธรรมความจริงได้ ผู้เขียนได้อธิบายไว้บ่อยๆ ให้บทความอื่นแล้ว
ในบทความนี้ก็จะขออธิบายต่อไปในเรื่อง “ไม่จำเป็นต้องถูกหรือดี”
๒ ความถูกผิดดีชั่วที่ถูกสอนมา
ความถูกผิดดีชั่วที่ได้รับมาจากการสั่งสอนหรือการรับรู้
“จากภายนอก” มิได้สว่างออกมาจากจิตใจหรือจาก “ธรรมะ ธรรมชาติภายในของเรา”
อย่างแท้จริง ย่อมเป็นแต่เพียง “รูป” รูปคือความว่าง, ความว่างก็คือรูป
นี่ย่อมไม่มีสาระอันใดเลย เราแค่ไหลไปตามน้ำเพื่ออยู่ร่วมกับคนทั่วไปให้ได้
โดยที่เรายังไม่มีความตระหนักรู้ในตัวตนที่แท้จริง,
ความต้องการที่แท้จริงของเราเองด้วยซ้ำ ดังนั้น ความถูกผิดดีชั่วที่ได้รับมาจากภายนอกนี้
ย่อมเป็นได้แค่ “การปรุงแต่ง” เท่านั้นเอง มิใช่ความถูกผิดดีชั่วที่แท้จริง
หลายคนหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนี้มากๆ เช่น ยึดมั่นในความดี, ในบุญ, ในความถูกต้อง
ฯลฯ ที่ใครบางคนสอนเรามา โดยไร้ซึ่งการพิสูจน์ใดๆ
๓ การมี “จิตสำนึก” อันแท้จริง
มีคำถามว่าหากเราไม่สนใจเรื่องความถูกผิดดีชั่วแล้ว
แบบนี้เราก็จะทำอะไรก็ได้ จะฆ่าคนก็ได้ เช่นนั้นหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ
หากคุณไม่ยึดติดในความถูกผิดดีชั่วอะไรแล้ว กลายเป็นคนวิปริต ไม่ปกติ ไร้ศีลธรรม แสดงว่ามันยังไม่ใช่ครับ
แสดงว่า “คุณไร้จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์”
ผู้เขียนไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ผู้เขียนกำลังบอกทางไปสู่ความถูกผิดดีชั่วที่แท้จริงต่างหากว่ามันจะต้องมาจากข้างในของคุณ
สว่างไสวดั่งดวงจันทร์วันเพ็ญ มาจากจิตใจของคุณที่เรียกว่า “จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์”
นั่นแหละ เมื่อคุณมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จะส่องแสงนำทาง
คุณจะตระหนักรู้ได้เองว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรกระทำในฐานะมนุษย์คนหนึ่งพึงมี
๔ การมีจิตสำนึกกับการทำตามใจตัวเอง
มีบางคนเข้าใจผิดคิดว่าการมีจิตสำนึกนั้นคือการทำตามใจของตัวเอง ทำตามหัวใจตัวเองเรียกร้อง ใช่ไหมครับ
แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย สองสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เมื่อคุณสับสน
คุณจะเข้าใจผิดคิดว่าการทำตามหัวใจตัวเองคือการทำโดยใช้จิตสำนึก
ไม่ใช่นะครับ มันตรงข้ามกันเลย หลายครั้งที่เมื่อเราทำโดยมีจิตสำนึกนั้น
เราอาจจะต้อง “ขัดแย้งกับตัวเอง” ขัดแย้งกับความรู้สึกของเราเอง หรือขัดแย้งกับผลประโยชน์ที่เราเองควรได้รับ
เพราะอะไร? เพราะเรายังมีจิตสำนึกอยู่ไงละครับ
เราจึงต้องยอมขัดใจตัวเอง
เช่น การที่เราไม่ละเมิดในลูกเขา เมียเขา เราอาจชอบเมียเขามาก แต่หากเรายังมีจิตสำนึก
เราก็จะไม่ยอมละเมิดในลูกเขาเมียเขา
๕ อะไรคือการฟังเสียงจากใจข้างในตัวเอง?
หลายคนพยายามไม่ฟังคนอื่น
ไม่รับรู้อะไรภายนอกเข้ามาครอบงำตัวเอง พยายาม “ฟังเสียงหัวใจตัวเอง”
ที่อาจจะมาจาก “จิตที่สว่างไสว” ของเราจนบางครั้งกลายเป็น “การทำตามอำเภอใจ”
โดยไม่ดูความถูกผิด ไม่สนใจอะไรเลยก็มี แบบนั้นก็ไม่ใช่นะครับ มันคล้ายๆ
ว่าจะถูกทางละช่วงแรก ที่เลือกฟังเสียงจากจิตของเราเองจากข้างใน
และไม่แคร์กับสิ่งภายนอกมากเกินไป ทว่า มันมาตกม้าตายเอาตอนหลัง และกลายพันธุ์เป็น
“การทำตามอำเภอใจตัวเอง” ไปครับ ไม่ใช่นะครับ คนละอย่างกัน
ต้องแยกแยะให้ออกระหว่างการที่เราทำตามจิตข้างในของเราอย่างเป็นธรรมชาติ (จริง) กับการทำตามอำเภอใจตัวเอง (เท็จ) แยกให้ออกครับ
เมื่อจิตตื่นแจ้งแล้วจะส่องนำทางโดยไม่ถูกครอบงำจากภายนอกครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น