บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน 16, 2018

ร่ำรวยด้วย “เดชคัมภีร์เทวดา”

รูปภาพ
อธิบายธรรมะมามากมายหลายบทความแล้ว บทความนี้ขออธิบายเรื่องการใช้ชีวิตให้ร่ำรวยบ้าง เพราะคนในยุคนี้ค่อนข้างให้ความสนใจเรื่องเศรษฐกิจกันมาก อีกทั้งเศรษฐกิจก็มีความจำเป็นมาก เพราะหากไม่มีเศรษฐกิจที่ดีรองรับ ก็อาจเกิดสงครามโลกครั้งที่สามได้ ดังนี้ จึ ง ขออธิบายเรื่องความร่ำรวย ดังต่อไปนี้ ๑ อย่างแรก ใครที่รวยได้? อย่างแรก คุณต้องเข้าใจก่อนว่ามนุษย์กับเทพไม่เหมือนกัน มนุษย์จะต้องอยู่อย่างมนุษย์ คือ สมถะ เรียบง่าย พอเพียงเหมือนคำสอนในหลวง แต่เทพจะอยู่อย่างหรูหราเหมือนอยู่บนสวรรค์ ถ้าคุณต้องการมีชีวิตที่ดี ร่ำรวยหรูหรา คุณจะเป็นแค่มนุษย์ ปุถุชนธรรมดา ไม่ได้ คุณจะต้องเป็น “มนุสสเทโว” ครับ คำว่า ใครที่รวยได้ คำตอบก็ง่ายๆ เลย “มนุสสเทโวรวยได้” ปุถุชนรวยไม่ได้ ปุถุชนต้องอยู่อย่างสมถะเรียบง่ายครับ เก็จนะ ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ชัดเจนแล้ว คุณต้อง “ตัดสินใจให้ได้ชัดเจน” ถ้าคุณอยากรวยคุณต้องเป็นมนุสสเทโว ไม่ใช่ปุถุชน ตาสีตาสา ทำอะไรออกมาขายแบบมาตรฐานต่ำๆ ไม่ได้ครับ นี่คือ จุดเริ่มต้นของคัมภีร์เทวดา ๒ ย กระดับสู่ “มนุสสเทโว” มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์ประเสริฐ สอนได้ พัฒนาตัวเองได้ ยกระดับจิตวิ

ยิ่งไปรับรู้ธรรมะมาก ยิ่งหลงมาก?

รูปภาพ
ทุกวันนี้เราจะเห็นคนที่ชอบพล่ามธรรมะ หาเรื่องทะเลาะถกเถียงกับคนเขาไปทั่ว ถูกผิดหรือเปล่า ไม่รู้? ไม่มีครูบาอาจารย์ดูแล เพ่นพ่านออกมาเถียงกัน ใครชนะก็ถือว่ากล่าวคำถูกต้อง อ้าว? มันก็ไม่แน่ มันอาจจะผิดทั้งสองคนเลยก็ได้ นี่เพราะรู้ธรรมะมากยิ่งหลงมาก ในบทความนี้ขออธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ สิ่งที่ไ ปรู้คือ “รูป” ไม่ใช่สัจธรรม หลายคนชอบไปรู้ รับรู้อะไรมากมาย ทั้งอ่าน, ทั้งฟัง ฯลฯ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ทว่า สิ่งที่เรารับรู้ได้ทั้งหลายนี้ สำหรับนักปฏิบัติแล้วมันเป็นแค่ “รูป” เท่านั้น รูปไม่มีสาระอะไรจะให้เราไปหลง หลงรูปก็ไม่ต่างจากไปหลงความว่าง รูปก็คือความว่าง, ความว่างก็คือรูป การลุ่มหลงธรรมะที่ได้จากการไปรับรู้มาทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ต่างจากการหลงรูป ช่างว่างเปล่าแท้ หลายคนเป็น “โมฆะบุรุษ” เพราะเสียเวลาทั้งชีวิตไปวันๆ กับสิ่งที่ไปรับรู้ได้เหล่านี้ แล้วสำคัญมั่นหมายผิดๆ ว่านี่คือ “สัจธรรม” ไม่ใช่นะครับ สิ่งเหล่านี้คือรูป สำหรับนักปฏิบัติที่พร้อมตื่นแจ้งจากความหลง ย่อมพิจารณาสิ่งที่รับรู้ได้ทั้งหลายเหล่านี้ “สักแต่ว่าเป็นรูป” ไร้สาระเท่านั้นเอง ๒ รูปที่ถูกรู้ เต็มสมอง

การระลึกชาติเป็นอย่างไร?

รูปภาพ
หลายคนมักจะคิดไปเองว่าตัวเองมีอดีตชาติเป็นนั่นเป็นนี่ แต่มักไม่จริง ส่วนใหญ่เป็นการถูกหลอกโดยภาควิญญาณครับ เราจะต้องแยกแยะให้ได้ระหว่างการระลึกชาติได้จริงๆ กับการถูกครอบงำให้คิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่ง มันแยกแยะได้ยาก ในบทความนี้จึ ง ขอนำมาอธิบายขยายความให้เข้าใจตรงกัน ดังต่อไปนี้ครับ ๑ การรู้สึกว่าเราเป็นกับรู้สึกต่อต้าน เมื่อมีพลังมาแทรก, ครอบงำ หรือมีจิตวิญญาณมาอยู่ในตัวเรา เราจะรู้ สึก ว่าเราเ ป็นเขาครับ ถ้าเขามาจากตัวตนในอดีต เช่น เป็นฮ่องเต้มาในอดีต เราก็จะคิดว่าอดีตชาติเราเคยเป็นฮ่องเต้มาก่อน อันนี้ไม่ถูกต้องฮะ อันนี้เรียกว่าการถูกแทรกซ้อนด้วยพลังงานต่างหาก เพราะเมื่อใดที่เราระลึกชาติได้จริงๆ เราจะรู้สึกตรงกันข้ามเลยคือ เราจะรู้สึก “ต่อต้านความจริงนั้นอย่างยิ่ง” คุณครับ มนุษย์เราทุกคนนั้น ไม่มีใครที่พร้อมยอมรับความจริงได้แต่แรกหรอก ดังนั้น เราจะมีปฏิกริยาการ “ต่อต้านความจริง” เสมอ ในสิ่งที่เราเป็น เช่น ถ้ามีคนมาบอกว่าเราเป็นปีศาจ เราก็จะต่อต้านทันที ทั้งที่จิตวิญญาณของเราอาจเป็นปีศาจจริงๆ ก็ได้ใช่มั้ยละครับ ๒ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เมื่อใดที่มันอธ

การไม่ยึดติดอะไรเลยอาจเป็นมารก็ได้?

รูปภาพ
หลายคนชอบทำตัวเหมือนว่า “ไม่ยิดติดอะไรแล้ว” เพราะอะไร? เพราะหลายคนเห็นพระอรหันต์เป็นเช่นนั้น   ตนเองอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง หรืออยากได้รับการยอมรับจากสังคมเลยพยายามเป็นเช่นนั้นบ้างแล้วก็เลยไปทำตัวเลียนแบบอรหันต์ ทว่า การไม่ยึดติดนั้นอาจไม่ถูกทางก็ได้ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ ๑ มรรคกับผล มรรคกับผลเป็นสิ่งคู่กัน หากเราไม่สนใจมรรค เราจะเอาแต่ผลเราก็อาจเดินมรรคผิดทางได้ สุดท้าย เราอาจได้ผลเหมือนสำเร็จอรหันต์เลย ปล่อยวางได้ทุกอย่าง ทว่า มันอาจไม่ใช่ ไม่ถูกทางก็ได้ครับเช่น ถ้าเราไม่เอาอะไรเลย ด้วยการละทิ้งหน้าที่, การงาน, ครอบครัว ฯลฯ ไปหมด ใครจะบอกจะเตือนเราดื้อด้านไม่ฟังทั้งนั้น ด้วยอำนาจทิฐิมานะของเรา จนเราสำเร็จสูงสุดได้ด้วยทิฐิแห่งความดื้อรั้นนั้นเอง แบบนี้ละคือวิถีมารไงครับ คือ หวังเอาแต่ผล ได้ผลเหมือนอรหันต์เลย ทว่า มรรควิธีมันไม่ใช่ มันเป็นมรรควิธีของมาร สุดท้าย เป็นมารได้ด้วยการไม่ยึดติดอะไรเลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่อะไรกับอะไรทั้งนั้น ปฏิเสธไปหมดทุกอย่าง ไร้ไปหมด ๒ ญาณสิบหก มรรคผลมีอยู่จริง หากเราไม่สนใจมรรค จะเอาแต่ผลอาจเข้าทางมารได้ดังที่กล่าวไว้แล้ว

การกระทำของผู้มีปัญญา

รูปภาพ
คนฉลาดนั้นอาจทำตัวเป็นคนดี มีปัญญามีการกระทำที่ดีงามได้ด้วยความคิด ด้วยการคิด ด้วยสมอง ทว่า นี่ไม่ใช่การกระทำที่ออกมาจากน้ำใสใจจริง จากธรรมะ ธรรมชาติ และยิ่งไม่ใช่ปัญญา การกระทำที่มาจากปัญญาไม่ใช่มาจากความฉลาดเป็นอย่างไร ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้ครับ ๑ การกระทำที่อิสระ การกระทำที่มี ปัญญาจะต้องประกอบด้วยความมี อิสระ กล่าวเช่นนี้เหมือนว่าใครๆ ก็ทำได้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ ปุถุชนทั้งหลายล้วนไม่มีการกระทำที่อิสระเลย เพราะอะไร? เพราะคนเรานั้นเมื่อเกิดมาในโลกแล้ว ก็ถูกสิ่งต่างๆ ครอบงำ, ชี้นำ และมีอิทธิพลต่อการกระทำของเขาทั้งสิ้น “โดยไม่รู้ตัว” เช่น การที่เราชอบกินอาหารไทย เพราะเราถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ ทำให้เราชอบอาหารไทย และส่งผลต่อการกระทำของเราอีกมากมายอันมาจากสาเหตุนี้ หากลองพิจารณาตัวเราเองดีๆ ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา ทุกๆ การกระทำ เราจะพบว่าแทบไม่มีการกระทำใดเลย ที่เราจะ “ไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งอื่นๆ” ที่เรากระทำอย่างอิสระด้วยตัวของเราเองจริงๆ ๒ การกระทำฉับพลันขณะ การกระทำที่มีปัญญาจะเป็นการกระทำที่เกิด ขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ ทำไมต้องเกิดแบบฉับพลัน? เพราะหากไม่

นิพพานไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดอีก?

รูปภาพ
ลัทธิ “นิรัตตา” มีคำสอนที่สุดโต่งในเรื่อง “ความไม่มีตัวตน” ตรงข้ามกับลัทธิอัตตาที่มีคำสอนสุดโต่งในเรื่องการมีตัวตน นอกจากนี้ แนวคิดของลัทธินิรัตตานั้นยังส่งผลต่อความเชื่อในพุทธศาสนามากมายไม่ต่างจากความเชื่อของพราหมณ์ลัทธิอื่น ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องนิพพานที่ไม่เกี่ยวกับการเกิดดับ ดังต่อไปนี้ ๑ การตื่นแจ้งในนิพพาน การตื่นแจ้งในนิพพานไม่เกี่ยวกับการเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก คนละเรื่องกัน การตื่นแจ้งในนิพพานทำให้คนเรามีปัญญาระดับ “อรหันตผล” เท่านั้นเอง ซึ่ง บนสวรรค์นั้นท่านจะให้อิสระแก่ผู้บรรลุธรรมระดับอรหันต์นี้ว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกก็ได้ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ คือ ท่านให้อิสระว่างั้นเถอะ ดังนั้น ท่านจึ ง บอกว่าผู้บรรลุธรรมจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ คำว่า “สังสารวัฏ” หมาย ถึง การเวียนว่ายตายเกิดในสามภพนี้เท่านั้นนะ ท่านไม่ได้หมายรวม ถึง การไปเกิดยังพุทธเกษตรอะไรด้วย สรุปคือ ผู้บรรลุนิพพานจะมีอิสระจากสังสารวัฏ จะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก จะอยู่ที่ไหนในสามภพนี้ก็ได้ นี่คือ ความหมายของคำว่า “หลุดพ้นจากสังสารวัฏ” นั่นเอง ๒ ป ฏิบัติธรรมเพื่อให้เ ป็นสูญ ไม่มี มีคนเข้าใจผิดคิดว่าการบร

พุทธเกษตร ที่หลายท่านเข้าใจผิด?

รูปภาพ
หลายท่านมักเข้าใจผิดในพระสูตรสุขาวดีที่ว่าแค่เอ่ยพระนามของพระอามิตภะก็จะได้ไปอยู่สุขาวดี ไม่ใช่ครับ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นสุขาวดีก็เต็มไปด้วยตัวเหี้ยหมดแล้ว ฮ่าๆๆ เข้าใจผิดนะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องของการไปเกิดยังพุทธเกษตรที่หลายท่านไปอ่านพระสูตรมาแล้วเข้าใจกันผิดๆ ดังต่อไปนี้ ๑ ต้องมีลำดับคิว บนพุทธเกษตรนั้นจะไม่มีการสร้างวิมานใหม่เหมือนโลกเรานะครับ วิมานจะมีเท่าที่มี ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้น แต่ “เจ้าของวิมาน” เปลี่ยนแปลงได้ หากพุทธเกษตรนั้นยังมีที่ว่างครับ เช่น ตำแหน่งโพธิสัตว์บางตำแหน่งที่ว่าง ยังไม่มีใครทำได้ แบบนี้ถ้าคุณบำเพ็ญสำเร็จจะไปประจำก็ได้ และเมื่ออยู่แล้วจะลงมาเกิดในโลกใหม่ก็จะต้องสละวิมานไปครับ โพธิสัตว์องค์อื่นก็จะมาอยู่แทน ดังนั้น ไม่ใช่อยู่ๆ คุณสำเร็จโพธิสัตว์แล้ว อยากได้สุขาวดีก็จะต้องได้ ไม่ใช่ครับ คุณจะต้อง “รอคิว” ก่อน ถ้าว่างก็ได้ถ้าไม่ว่างก็ไม่ได้หรือรอต่อไปครับ แม้แต่สวรรค์ชั้นต่างๆ ตำแหน่งเทพที่สำคัญๆ ก็มีลำดับคิวทั้งสิ้น เหมือนพระพุทธเจ้าก็มีลำดับคิวเช่นกัน ๒ ต้องบำเพ็ญตามลำดับขั้น ผู้ที่ปรารถนาจะไปเกิดยังพุทธเกษตรนั้นจะต้องบำเพ็ญตา