ยิ่งไปรับรู้ธรรมะมาก ยิ่งหลงมาก?




ทุกวันนี้เราจะเห็นคนที่ชอบพล่ามธรรมะ หาเรื่องทะเลาะถกเถียงกับคนเขาไปทั่ว ถูกผิดหรือเปล่า ไม่รู้? ไม่มีครูบาอาจารย์ดูแล เพ่นพ่านออกมาเถียงกัน ใครชนะก็ถือว่ากล่าวคำถูกต้อง อ้าว? มันก็ไม่แน่ มันอาจจะผิดทั้งสองคนเลยก็ได้ นี่เพราะรู้ธรรมะมากยิ่งหลงมาก ในบทความนี้ขออธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้ครับ

๑ สิ่งที่ไปรู้คือ “รูป” ไม่ใช่สัจธรรม
หลายคนชอบไปรู้ รับรู้อะไรมากมาย ทั้งอ่าน, ทั้งฟัง ฯลฯ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ทว่า สิ่งที่เรารับรู้ได้ทั้งหลายนี้ สำหรับนักปฏิบัติแล้วมันเป็นแค่ “รูป” เท่านั้น รูปไม่มีสาระอะไรจะให้เราไปหลง หลงรูปก็ไม่ต่างจากไปหลงความว่าง รูปก็คือความว่าง, ความว่างก็คือรูป การลุ่มหลงธรรมะที่ได้จากการไปรับรู้มาทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ต่างจากการหลงรูป ช่างว่างเปล่าแท้ หลายคนเป็น “โมฆะบุรุษ” เพราะเสียเวลาทั้งชีวิตไปวันๆ กับสิ่งที่ไปรับรู้ได้เหล่านี้ แล้วสำคัญมั่นหมายผิดๆ ว่านี่คือ “สัจธรรม” ไม่ใช่นะครับ สิ่งเหล่านี้คือรูป สำหรับนักปฏิบัติที่พร้อมตื่นแจ้งจากความหลง ย่อมพิจารณาสิ่งที่รับรู้ได้ทั้งหลายเหล่านี้ “สักแต่ว่าเป็นรูป” ไร้สาระเท่านั้นเอง

รูปที่ถูกรู้ เต็มสมองคือสัญญาขันธ์
เมื่อเราหลงรู้ หลงว่าการไปรับรู้อะไรต่อมิอะไรคือการได้เห็นสัจธรรมแล้ว เราก็จะไปสำคัญมั่นหมายเอาสิ่งนี้ เข้ามาเก็บไว้ “รกใจ” ไปหมด บางคนเก็บไว้จนอัดอั้นตันใจ ต้องหาที่ระบาย เจอใครแม่งก็ใส่ๆ เอาธรรมะยัดเขาทุกทีไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขยะ เป็นแค่สัญญาขันธ์เท่านั้นเอง สัญญาขันธ์นี้มิใช่นิพพานอะไรเลยมันเป็นแค่สิ่งที่อาศัยสังขารเกิด และเมื่อเราสิ้นสังขารลงไป มันก็จะดับลงไปด้วย หาสาระอะไรไม่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นผู้ที่เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจมากๆ ย่อมหมักดองจนกลายเป็น “อาสวะ” ในที่สุด สังเกตุได้ว่าคนที่ชอบไปรับรู้ในธรรมะอะไรมาเก็บไว้ในใจมากๆ มักเป็นคนอัดอั้นตันใจชอบหาที่ระบายธรรมะใส่คนอื่น ไม่ต่างจากงูพ่นพิษ

๓ สิ่งที่หมักดองในใจ กลายเป็นพิษ
ดังที่กล่าวแล้วว่าเมื่อเราไปรับรู้อะไรมา แล้วสำคัญมั่นหมายว่าคือธรรมะ เราก็จะเก็บมันเอามาไว้ในใจของเราเป็นธรรมะแบบ “ตัวกู ของกู” ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมสละออก เมื่อมันหมักหมมจนกลายเป็นอาสวะแล้วก็เกิดพิษ เรียกว่า “พิษธรรมะ” เมื่อมีพิษมากเข้าก็จะเริ่ม “เพ่นพ่านออกไปพ่นพิษ” เหตุนี้ในปรัชญาปารามิตรสูตร จึสอนเรื่อง “มหาสุญตา” เพื่อสลายพิษแห่งอวิชชาที่สะสมอยู่ในใจของเรานั้นให้กลายเป็นศูนย์ซะให้หมด แต่ไม่ใช่ให้เราไปบ้าพล่ามสุญตาใส่อะไรนะ ธรรมะอะไรก็เป็นเช่นนั้นเอง เราไม่ต้องไปกระทำมัน ให้มีความเป็นมหาสุญตาอะไรทั้งนั้น มันเป็นธรรมะ ธรรมชาติอยู่แล้ว เราเองที่หลงเอาขยะมาใส่ใจเท่านั้นเอง

๔ หัวใจปริยัติ คือ ไม่หลงธรรมะ
“สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมทั้งหลายล้วนอนัตตา ไม่ใช่ให้เราไปหลงยึดมั่นถือมั่น เท่านี้แหละ หัวใจปริยัติถ้ายังหลงยึดติดธรรมะ ก็ยังไม่จบปริยัติ หลายท่านชอบอ้างว่าต้องรู้ธรรมะ เพราะในตำราบอกไว้ว่าเราต้องมีปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวธ ก็นี่ละครับ ปริยัติคือ เห็นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เห็นเป็นธรรมะของกู กูรู้แล้ว นี่คือ ธรรมะของกู, กูจะไปพล่ามใส่คนอื่น, ไปสอนคนอื่น, ไปอวดโชว์คนอื่น, ไปเอาชนะคะคานคนอื่น ฯลฯ นี่ไม่ใช่เลย ทว่า หลายคนทำไม่ได้ พอไปรับรู้ธรรมะปั๊บ ใจข้างในมันเริ่มยึดทันที นี่ธรรมะของกู กูรู้แล้ว นี่คือความรู้ของกู ความฉลาดของกู ไอ้ห่าของมึงอะไรกันละ? คนอื่นเขาตรัสรู้ทั้งนั้น มึงตรัสรู้เองเสียที่ไหน?

๕ หลงธรรมะ หายยากกว่าหลงทางโลก
เพราะของทางโลกมันไม่เที่ยง มีทุกข์ให้เราเจอเสมอๆ ไม่ว่าจะหลงอะไรในทางโลก ไม่นานก็ต้องเจอทุกข์ มันช่วยให้สติเราหลุดออกมาได้บ้าง แต่หากหลงธรรมะนี่ยากที่จะแกะออกมาเลย หลงงอมแงมยิ่งกว่าติดยาเสพติด เพราะมันมีทุกขังน้อยกว่าของทางโลก สุดท้าย ถ้าหลงมากๆ ธรรมชาติเขาจะจัดสรรเครื่องเตือน “สติ” มาให้เรา เหมือนที่นาลันทาถูกฆ่าและเผาตายกันมากมายนั่นแหละ คนที่หลงธรรมะมากๆ หากไม่มีทางออก ไม่มีใครเตือนได้แล้ว ธรรมชาติก็จะจัดสรรสิ่งที่ให้สติได้มาเอง ตอนนี้ หลายประเทศมีข่าวความขัดแย้งของศาสนา เช่น พม่า ชาวพุทธกับชาวมุสลิมฆ่ากัน เผาวัด เผามัสยิดกันเลยก็มี นี่ก็เพื่อให้หลุดพ้น

ยิ่งไปรับรู้ธรรมะมากก็ยิ่งหลงยึด หลงตัวเองมาก โฆษะบุรุษแท้!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?