บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม 8, 2018

“เทวสภาวะ” เป็นอย่างไร?

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้อธิบายลักษณะของมนุษย์โดยคร่าวๆ ไปแล้ว ในบทความนี้ จึ ง อยากจะขออธิบายในเรื่อง “เทวสภาวะ” ซึ่ง เป็นสภาวะที่พบได้ในคนบางคนได้ เรียกว่า “มนุสสเทโว” ไม่ใช่มีแต่ในเทพเทวดาแค่นั้น ทว่า ลักษณะของเทวสภาวะนั้นยากที่จะสังเกตุและแยกแยะแต่ก็พอจะสังเกตุได้บ้าง ดังต่อไปนี้ครับ ๑ พ้นแล้วจากความเป็นปุถุชน หากยังชุ่มโชกด้วยความเป็นปุถุชน คนผู้นั้นก็ย่อมไม่อาจมีเทวสภาวะได้ครับ ทั้งนี้ เทวสภาวะจะเริ่มมีตั้งแต่ระดับ “เทพนักษัตรหรือเทพสัตว์” เช่น เทพม้า, เทพช้าง ฯลฯ เทพเหล่านี้เป็นเทพชั้นต่ำสุด เวลาทำงานต้องได้สิ่งตอบแทนเหมือนสัตว์ที่เราต้องล่อให้ทำงานด้วยการให้สิ่งตอบแทนครับ แต่คุณภาพงานจะดีมาตรฐานสูง ทั้งนี้เทวสภาวะไม่ใช่อรหันต์หรือพุทธสภาวะ ดังนั้น จะมีกิเลสเป็นปกติแต่จะเป็นกิเลสขั้นเทพ ไม่ใช่แบบปุถุชนครับ เช่น ความต้องการรวมโลกเป็น หนึ่ง เดียว แบบนี้ไม่ใช่ปุถุชนต้องการแน่ มีแต่ระดับเทพจริงมั้ยฮะ หากยังไม่เห็นภาพ ให้ดู “ตาสีตาสา” กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เจ้าหน้าที่รัฐคือรูปแบบ หนึ่ง ของการ ฝึก ให้เป็นเทพ     ๒ ความมีระดับ มีรสนิยมสูง มีมาตรฐานในการทำงาน, การใช้ชีวิตก็มีคุ

มนุษย์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร?

รูปภาพ
คนเรานั้นแรกเริ่มเกิดมามีความเป็นมนุษย์เหมือนกันทุกคน แต่เมื่อดำเนินชีวิตไปนานวันเข้า อาจทำกรรมและได้รับผลกระทบจากสิ่งต่างๆ มากมาย ทำให้ความเป็นมนุษย์ลดน้อยถอยลงไปหรืออาจสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเลยก็ได้ ในบทความนี้ จึ ง อยากจะขออธิบายในเรื่อง “มนุษย์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร” ดังต่อไปนี้ ๑ มนุษย์จะไม่มีอาชีพใดๆ มนุษย์ไม่เป็นอะไรอื่นใดทั้งนั้นนอกเสียจากมนุษย์ มนุษย์มิใช่คุณหมอ, คุณครู, นายตำรวจ ฯลฯ อะไรทั้งนั้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สอนได้ เรียนรู้จากเทพที่เป็นครูได้ มนุษย์จึ ง สามารถทำหน้าที่เหล่านี้ได้ ไม่ต่างอะไรกับการสวมหัวโขน แต่เมื่อมนุษย์หลงหัวโขนลืมความเป็นมนุษย์แต่เดิมไป มนุษย์ก็หลงตัวเองว่าตนคือ หมอ, ครู, ตำรวจ ฯลฯ เมื่อนั้นเขาก็ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป และลืมไปว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร? พวกเขาเหยียดคนที่ไม่มีอาชีพ มนุษย์ที่ตกงาน และหลงคิดว่าการมีงานทำ การได้รับเงินที่มากกว่าผู้อื่น คือการประสบความสำเร็จในการเป็นมนุษย์ ทว่า พวกเขาได้หลงออกมาไกลจากมนุษย์แล้ว ๒ มนุษย์จะไม่มีคู่ผัวตัวเมีย ความรักแบบมนุษย์คือ “ความรักแบบเพื่อนมนุษย์” การส

การฝึกจิตไม่ใช่การทะเลาะกับกิเลสอย่างไร?

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายแล้วว่ากิเลสไม่จำเป็นต้องไปดับหรือทำอะไรกับมัน เพราะมันไม่เที่ยงอยู่แล้ว จิตประภัสสรบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่จิตมีกำลังในการหยั่งรู้ไม่เท่ากันทำให้มีบางคนไม่สำเร็จธรรมแต่บางคนก็สำเร็จ ในบทความนี้จะขออธิบายขยายความเรื่องการฝึกจิตโดยไม่ต้องดับกิเลส ดังต่อไปนี้ครับ ๑ ไม่ต้องดับกิเลสจะสำเร็จได้อย่างไร ? การฝึกจิต ไม่ใช่การดับกิเลสหรือการทำจิตใจให้บริสุทธิ์แต่อย่างใด เพราะจิตนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้วเรียกว่าจิตประภัสสร แต่มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราว ทำให้บดบังและเศร้าหมองในบางขณะ สิ่งนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน ดังนั้น ไม่ต้องไปยึดติดเป็นสาระอะไร นักปฏิบัติวิปัสสนานั้นอาศัยช่วงจังหวะที่กิเลสดับเองชั่วคราว เพื่อพิจารณาธรรมได้ เหมือนอาศัยจังหวะที่เมฆเคลื่อนจากดวงจันทร์ ทำให้แสงจันทร์ส่องสว่างได้ชั่วคราวนี้ ในการทำ “นิพพานให้แจ้ง” ได้ ชั่วระยะสั้นๆ นี้ อุปมาไว้เหมือน “งูแลบลิ้น” หรือชั่วฟ้าแลบแปล๊บเดียวเท่านั้น “อาสวักขยญาณ” ก็คือ ญาณหยั่งรู้เท่าทันว่ากิเลสดับแล้วทำนิพพานให้แจ้งได้ โดยไม่ต้องตัดกิเลส ๒ การฝึกจิตคือการฝึกอะไร การฝึกจิต คือ การฝึกพละห้า อัน