มนุษย์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร?
คนเรานั้นแรกเริ่มเกิดมามีความเป็นมนุษย์เหมือนกันทุกคน
แต่เมื่อดำเนินชีวิตไปนานวันเข้า อาจทำกรรมและได้รับผลกระทบจากสิ่งต่างๆ มากมาย
ทำให้ความเป็นมนุษย์ลดน้อยถอยลงไปหรืออาจสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเลยก็ได้ ในบทความนี้
จึงอยากจะขออธิบายในเรื่อง
“มนุษย์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร” ดังต่อไปนี้
๑ มนุษย์จะไม่มีอาชีพใดๆ
มนุษย์ไม่เป็นอะไรอื่นใดทั้งนั้นนอกเสียจากมนุษย์
มนุษย์มิใช่คุณหมอ, คุณครู, นายตำรวจ ฯลฯ อะไรทั้งนั้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สอนได้
เรียนรู้จากเทพที่เป็นครูได้ มนุษย์จึงสามารถทำหน้าที่เหล่านี้ได้
ไม่ต่างอะไรกับการสวมหัวโขน แต่เมื่อมนุษย์หลงหัวโขนลืมความเป็นมนุษย์แต่เดิมไป
มนุษย์ก็หลงตัวเองว่าตนคือ หมอ, ครู, ตำรวจ ฯลฯ เมื่อนั้นเขาก็ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป
และลืมไปว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร? พวกเขาเหยียดคนที่ไม่มีอาชีพ
มนุษย์ที่ตกงาน และหลงคิดว่าการมีงานทำ การได้รับเงินที่มากกว่าผู้อื่น คือการประสบความสำเร็จในการเป็นมนุษย์
ทว่า พวกเขาได้หลงออกมาไกลจากมนุษย์แล้ว
๒ มนุษย์จะไม่มีคู่ผัวตัวเมีย
ความรักแบบมนุษย์คือ
“ความรักแบบเพื่อนมนุษย์” การสร้างชายหญิงให้เป็นคู่กัน
มิใช่ให้เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน แต่เป็นธรรมชาติที่คู่กันเฉยๆ
ภายหลังเมื่อมนุษย์ตกจากสวรรค์จากสวนเอเดน มาอยู่ในโลก
และเพื่อจะสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้เกิดในโลก มหาเทพหลายองค์ก็มาช่วยกันทำให้มนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ด้วยการมีกามกัน
เช่น พระศิวะมาสอนเรื่องกามตันตระ, พระพรหมมาสร้างพรหมลิขิตและการแต่งงาน ฯลฯ เป็นต้น
มนุษย์ก็หลงลืมไปว่าเดิมทีตนไม่มีสิ่งเหล่านี้ เมื่อมนุษย์ลุ่มหลงในความเป็นคู่ผัวตัวเมียมากเข้า
ก็หลงลืมความเป็นมนุษย์สามารถทำบาปต่างๆ เพื่อให้ครอบครัวของตนร่ำรวยเช่น โกงกิน,
เก็บดอกเบี้ย, ขายตัวเป็นทาส ฯลฯ
๓ มนุษย์ไม่ได้เก่ง
ไม่ได้ดี
สังคมหล่อหลอมและสอนให้เราเป็นคนเก่งคนดีอะไรมากมาย
ทว่า มนุษย์แท้จริงนั้นไม่ต้องเก่งก็ได้ ไม่ต้องเป็นคนดีอะไรก็ได้ ในความเป็นมนุษย์นั้นมีความเป็นปกติที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่แล้ว
เช่น ให้คุณไปกินเนื้อมนุษย์ คุณจะกินไหม? คุณก็ไม่กิน คุณจะอ้วกด้วยซ้ำ
เพราะอะไร? เพราะความเป็นมนุษย์ในตัวเรายังมี มันชัดเจนว่าสิ่งนี้เราจะไม่ทำ จนเป็นปกติของมนุษย์อยู่แล้ว
ไม่ใช่กฎอะไรที่ตรามาห้ามเราเลย เราไม่ทำโดยธรรมชาติ โดยปกติอยู่แล้ว ดังนี้
มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่ชั่วร้ายอยู่แล้ว ละเว้นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นปกติอยู่แล้ว
สังคมไม่จำเป็นต้องชี้นำหรือครอบงำให้เขาเป็นคนดีแบบเฟคๆ ตามที่สังคมต้องการให้เป็นอีกเลยก็ได้ครับ
๔ มนุษย์จะไม่สร้างสังคมย่อย
เพราะมนุษย์มีสังคมเดียวคือ
“มวลมนุษยชาติหนึ่งเดียว”
อยู่แล้ว มนุษย์ที่ไม่รู้จักกัน เมื่อผ่านมาเจอกันก็ทักกันได้ แบ่งปันอาหารให้กันกินได้
ไม่ว่าพวกเขาจะมีเชื้อชาติ, ศาสนา ฯลฯ อะไรที่ต่างกันก็ตาม ส่วน “สังคมย่อย” คือ
สิ่งประดิษฐ์ แปลกปลอม ปรุงแต่ง และสร้างทำเพื่อเป็น “กรง”
ขังมนุษย์เอาไว้ให้แยกจากกัน เช่น ความเป็นชาติ, ศาสนา ฯลฯ เหล่านี้ หากเป็นแค่ความหลากหลายของมนุษย์
ไม่เป็นกำแพงแบ่งแยกคน ก็ไม่เป็นไร แต่หากเริ่มเกินขอบเขต มากเกินไป กลายเป็นเครื่องแบ่งแยกคนออกจากกันเมื่อไร
มันก็จะทำให้มวลมนุษย์เกิดการแตกแยกกัน เมื่อแตกแยกกันแล้ว
พวกเขาจะขัดแย้งและก่อสงครามเข่นฆ่ากันได้นั่นเอง
๕ มนุษย์อยู่ใต้กรงของเทพ?
มีเทพมากมายลงมายังโลกเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ
ให้แก่มนุษย์ เช่น เชื้อชาติ, ศาสนา, ระบอบการปกครอง ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เครื่องมือให้มนุษย์ใช้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขเท่านั้น
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ใช้มันไม่ได้ ใช้มันไม่เป็น มันก็จะกลายเป็นดาบสองคม
หันมาเล่นงานมวลมนุษยชาติเอง เมื่อนั้นหายนะจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษย์
แม้แต่เครื่องมือเครื่องใช้ บ้านหรู, รถยนต์, มือถือ, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่เทพลงมาสร้างให้มนุษย์และมนุษย์จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้มัน
“อย่างมีจริยธรรม” ทุกอย่างล้วนเป็นดาบสองคมทั้งสิ้น หากใช้ไปผิดทางแล้ว
ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นกับมวลมนุษย์
และปัจจุบันมันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว มนุษย์กำลังได้รับหายนะ
มนุษย์จะต้องไม่หลงในสิ่งที่เทพสร้างให้
และใช้มันอย่างมีสติครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น