บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม 21, 2018

ความร่ำรวยสิบมิติ

รูปภาพ
ความร่ำรวยในมุมมองของคนทั่วไปนั้นย่อมมองว่าเป็นการได้ครอบครองวัตถุสิ่งของ, เงินทอง ฯลฯ ทว่า แท้แล้ว การมีสิ่งที่มีค่าอยู่มาก ล้วนเป็นความร่ำรวยได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่มีค่านั้นไม่ได้มีแต่วัตถุสิ่งของหรือเงินทอง  สิ่งที่มีค่านั้นมีมากกว่านั้น ในบทความนี้ ขออธิบายเรื่อง “ความร่ำรวย” ในมุมมองต่างๆ สิบมิติ ดังต่อไปนี้     ๑ ร่ำรวยทานบารมี ผู้ที่ร่ำรวยด้วยทานบารมีจะส่งผลให้มีเงินมาก นี่เป็นความร่ำรวยในมิติแรกที่เราพบเห็นได้ทั่วไป และหลายคนมักคิดว่าความร่ำรวยต้องเป็นแบบนี้แบบเดียว ทานบารมีนั้นมีสามระดับคือ ๑๐ ทัศ, ๒๐ ทัศ และ ๓๐ ทัศ ในขั้นต้นๆ จะทำทานด้วยสิ่งของนอกตัว ในขั้นสูงๆ จะทำทานด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของตนเองครับ ๒ ร่ำรวยศีลบารมี ผู้ที่ร่ำรวยด้วยศีลบารมีจะส่งผลให้มีความปกติมาก ปกติอย่างไร? ปกติที่จะละเว้นจากการกระทำกรรมอันไม่ควรกระทำ ทำให้มีความเสื่อมในธรรมน้อย คงความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ไว้ได้มาก เช่น พระ, นักบวช ก็มีความร่ำรวยในศีลบารมีมาก ทำให้สูญเสีญคุณความดีได้น้อย เมื่อละสังขารจากโลก มักไปดีกว่าคนอื่น ๓ ร่ำรวยเนกขัมบารมี ผู้ที่ร่ำรวยด้วยเนกขัมบารมีจะส่งผลใ

กระทบกระทั่งอย่างไรในวัชรยาน?

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้อธิบายแนวคิดของธรรมะในสาย “วัชรยาน” แล้วว่าธรรมะเปรียบเหมือนเพชร ที่จะเปล่งประกายได้ต้องผ่านกระบวนการ “เพชรตัดเพชร” มีการกระทบกระทั่ง, การบีบคั้น และความกดดันมาก่อน ในบทความนี้ จะขอนำมาอธิบายขยายความเพื่อให้เข้าใจธรรมะในสายวัชรยานมากยิ่ง ขึ้น ไปอีก ดังต่อไปนี้     ๑ พละห้าต้องพร้อมก่อนเพชรตัดเพชร พละห้าตัวแรกที่สำคัญมากคือ “ศรัทธา” เมื่อเราไม่มีศรัทธาต่อคนที่เราสนทนาธรรมด้วย เราจะเอาแต่ชนะคะคานเขาเท่านั้น บางคนแทบไม่ฟังเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ปิดหูปิดตาเถียง คิดเอาชนะอย่างเดียวก็มี นี่เรียกว่าพละห้ายังไม่พร้อม ดังนั้น จะสนทนาธรรมกับใครไม่ได้ ห้ามพูดธรรมะกับใคร พูดแล้วเป็นเรื่อง พูดแล้วผิดใจกัน เพราะขาดความศรัทธาต่อกัน จริงไหมครับ? ทว่า หลายคนในปัจจุบันนี้ คิดว่าตนปฏิบัติธรรมด้วยการสนทนาธรรมกัน จริงๆ มันไม่ใช่การสนทนาเลยแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการเอาชนะคะคานกันต่างหาก ในทิเบตนั้น ก่อนที่พระลามะจะสนทนาธรรม ท่านจะทำความเคารพฝ่ายตรงข้ามก่อนด้วยครับ ๒ เน้นให้กระทบที่จิต ที่ใจของเรา การบรรลุธรรมนั้น “จิตจะตื่นแจ้ง” สว่างไสวออกมาได้เมื่อ “มีธรรมะมากระทบ” ทว

การดำรงอยู่ในโลกแห่งพิษ

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้อธิบายแนวคิดของธรรมะในสายพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าแล้วว่าธรรมะคือยาพิษ ในขณะ เดียวกันพิษก็เป็นยารักษาโรคด้วย เรียกว่า “พิษล้างพิษ” เพราะธรรมะไม่ใช่สัจธรรม ไม่อาจแทนที่สัจธรรมความจริงได้ ในบทความฉบับนี้จะขออธิบายต่อไปในหัวข้อจะดำรงอยู่ในโลกแห่งพิษนี้ได้อย่างไร ดังต่อไปนี้     ๑ ความไม่แ ปดเปื้อนในโลก ไม่มี อย่างแรก เราต้องยอมรับความจริงอย่าง หนึ่ง ให้ได้ก่อนว่าเมื่อเราลงมาเกิดในโลกนี้แล้ว เราจะอยู่อย่างไม่มีความแปดเปื้อนอะไรเลยนั้น “เป็นไปไม่ได้” เราจะต้องแปดเปื้อนด้วยกรรมด้วยธรรมชาติต่างๆ เป็นธรรมดา และสิ่งแปดเปื้อนเหล่านั้นก็คือ ธรรมะ เรื่องธรรมดาของโลก และธรรมะเหล่านี้ล้วนเป็นพิษ ในขณะเดียวกันก็เป็นยารักษาโรคแบบพิษล้างพิษอีกด้วย เมื่อเราล้างพิษแรกหมดไปด้วยพิษที่สองแล้ว เราจะต้องเจอพิษที่สาม, สี่, ห้า ฯลฯ ตามมาอีกเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกครับ เพราะเราจะหนีไม่ยอมแปดเปื้อนอะไรเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึ ง แสดงออกมาได้เรื่อยๆ ไงครับ ๒ รับพิษอย่าง หนึ่ง เพื่อแก้พิษอย่าง หนึ่ง นี่คือ สิ่งที่จะเกิดขื้นอ

ธรรมภาคฆราวาส

รูปภาพ
กลางพุทธกาลจะมีกิจสำคัญในพุทธศาสนาอย่าง หนึ่ง คือ การสร้างธรรมภาคฆราวาส หลังจากที่พระสมณโคดมได้สร้างธรรมสำหรับผู้ถือบวชเป็นภิกษุมาแล้ว กิจการสร้างธรรมภาคฆราวาสก็ยังไม่จบสิ้น หลายคนก็ลงมาเพื่อช่วยในกิจนี้ แต่ยังไม่สำเร็จสักที เพราะอะไร? ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ การเ ป็นพระที่ใจ นี่เป็นวลีที่มักชอบพูดกันมาก พูดง่ายแต่ทำยากครับ การเป็นพระแท้ที่ใจในเพศฆราวาสนั้น เราจะมีตัวตนภายในเป็นพระ ห่มจีวรเลย สามารถเพ่งดูได้ด้วยตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะทำกันได้ น้อยคนมากๆ ครับ การเป็นพระแท้ด้วยการบวชพระ เรียกว่ายากแล้ว การเป็นพระที่ใจยากกว่า เพราะต้อง “สละเพศฆราวาส” ให้ได้ การสละเพศฆราวาสนั้นจะต้องอยู่อย่างไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง แต่เป็น “สมณเพศ” ครับ ไม่ใช่กระเทยนะครับ หลายคนติดในความเป็นชายและหญิง เช่น ถือตัวว่าเราเป็นชายนะ แมนนะ แบบนี้ก็มี บางคนเป็นหญิงมาปฏิบัติ ยังติดในความเป็นหญิงก็มีมาก แม้ว่าบวชใจจะมีได้ก็จริงแต่ในความจริง เป็นไปได้ยากครับ ๒ การมีสมณเพศ ดังที่กล่าวแล้วว่าผู้ที่เป็นพระที่ใจนั้น สละเพศฆราวาสแล้ว ไม่ใช่ทั้งชายและหญิงเป็นสมณเพศ ถามว่าคำว่

ธรรมโอสถ : จงหาพิษของคุณเอง

รูปภาพ
ในบทความก่อนๆ ได้กล่าว ถึง “ธรรมโอสถ” ที่อุปมาเช่น “พิษล้างพิษ” หลายท่านอาจยังไม่เข้าใจนัก ดังนั้น ในบทความนี้ จะขออธิบาย ถึง ธรรมโอสถแบบพิษล้างพิษ อันเป็นธรรมสายพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ที่ไม่มีในตำราใดๆ แต่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยตนเอง ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ ทำไมธรรมะต้องเ ป็นพิษล้างพิษ? ไม่มีธรรมะใดที่ไม่เป็นพิษดอก เพราะอะไร? เพราะธรรมะไม่ใช่สัจธรรม ไม่มีสิ่งใดแทนที่ความจริงที่เป็นได้ คำว่า “ความจริง” ก็ไม่อาจแทนที่ความจริง ที่แท้จริงได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การแสดงธรรมก็มิอาจแทนที่สัจธรรม นิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ ไม่เคยแทนที่ดวงจันทร์ได้ ทว่า ผู้ชี้แนะก็ยังต้องทำหน้าที่นิ้วที่ชี้ดวงจันทร์อยู่เช่นเดิม ธรรมะย่อมมิใช่สัจธรรมความจริง ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดที่เราหลงยึดมั่นเอาธรรมะใดก็ช่าง จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ช่างมาหมักดองไว้เป็นอาสวะกิเลส เมื่อนั้นมันก็จะเกิดพิษ ขึ้น และเราจะต้องล้างให้เป็นศูนย์ที่เรียกว่า “สุญตา” การล้างให้เป็นศูนย์ไม่ใช่การคิดไปเองว่าเราไม่ยึดติดแล้ว แต่จะต้องมาจากการใช้พิษแก้พิษอย่างถูกต้อง ๒ สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นทั้งยาและพิษ

ยุคสมัยแห่งการสร้างมนุษย์

รูปภาพ
ในบทความก่อนได้อธิบาย ถึง ยุคสมัยของโลกในช่วงที่พระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ปกครองธรรมกาลกันไปบ้างแล้ว ในบทความนี้ จะขอกล่าว ถึง ยุคสมัยของ “มนุษย์” กันบ้าง ว่ามนุษย์แต่ละยุค แต่ละรุ่นถูกธรรมชาติสร้างมาอย่างไร? เพราะคนเราแต่ละยุคแต่ละรุ่นนั้น มีลักษณะและพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้ครับ     ๑ ยุคแห่งพระโพธิสัตว์ คือ ยุคที่ระบอบกษัตริย์ยังเจริญอยู่ในโลก เป็นยุคที่ผู้ลงมาเกิดเน้นบำเพ็ญให้ได้โพธิยานกัน ด้วยการลงมาสนับสนุน ส่งเสริมพุทธศาสนา และไม่ได้มีคนเดียว ไม่ใช่มีแต่พระศรีอาร์ฯ นะครับ แต่ลงมาพร้อมๆ กันมากเลยทีเดียว ยุคนี้ โลกจะยังไม่เจริญนัก ผู้บำเพ็ญบารมีต้องบุกเบิก และใช้ความพยายามมากมายในการทำกิจ ทำให้ได้บารมีมาก และมักต้องเสี่ยงกับการมีสงครามอีกด้วย หลายคนพลีชีพเพื่อชาติในสงคราม เพื่อที่ จะบำเพ็ญโพธิยาน คนรุ่นนี้คือคนรุ่นก่อนเรา คนรุ่นก่อน จึ ง มักเป็นพวกอุทิศตน เสียสละ ไม่ติดความสบาย ซึ่ง คนในยุคหลังๆ เริ่มทำตามไม่ได้แล้ว เพราะบริบทที่แวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ตามแต่ยุคสมัยของมันครับ ๒ ยุคแห่งเทพ คือยุคที่โลกเริ่มกำลังจะเจริญจะมี “อาชีพ” ต่างๆ เกิด ขึ้น มากมาย อา