ธรรมภาคฆราวาส




กลางพุทธกาลจะมีกิจสำคัญในพุทธศาสนาอย่างหนึ่งคือ การสร้างธรรมภาคฆราวาส หลังจากที่พระสมณโคดมได้สร้างธรรมสำหรับผู้ถือบวชเป็นภิกษุมาแล้ว กิจการสร้างธรรมภาคฆราวาสก็ยังไม่จบสิ้น หลายคนก็ลงมาเพื่อช่วยในกิจนี้ แต่ยังไม่สำเร็จสักที เพราะอะไร? ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ การเป็นพระที่ใจ
นี่เป็นวลีที่มักชอบพูดกันมาก พูดง่ายแต่ทำยากครับ การเป็นพระแท้ที่ใจในเพศฆราวาสนั้น เราจะมีตัวตนภายในเป็นพระ ห่มจีวรเลย สามารถเพ่งดูได้ด้วยตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะทำกันได้ น้อยคนมากๆ ครับ การเป็นพระแท้ด้วยการบวชพระ เรียกว่ายากแล้ว การเป็นพระที่ใจยากกว่า เพราะต้อง “สละเพศฆราวาส” ให้ได้ การสละเพศฆราวาสนั้นจะต้องอยู่อย่างไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง แต่เป็น “สมณเพศ” ครับ ไม่ใช่กระเทยนะครับ หลายคนติดในความเป็นชายและหญิง เช่น ถือตัวว่าเราเป็นชายนะ แมนนะ แบบนี้ก็มี บางคนเป็นหญิงมาปฏิบัติ ยังติดในความเป็นหญิงก็มีมาก แม้ว่าบวชใจจะมีได้ก็จริงแต่ในความจริง เป็นไปได้ยากครับ

การมีสมณเพศ
ดังที่กล่าวแล้วว่าผู้ที่เป็นพระที่ใจนั้น สละเพศฆราวาสแล้ว ไม่ใช่ทั้งชายและหญิงเป็นสมณเพศ ถามว่าคำว่าสมณเพศมีลักษณะอย่างไร? อธิบายง่ายๆ เหมือนอะไรที่เป็นกลางๆ เหมือนเด็กที่ใสซื่อจนไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่ใช่กระเทยด้วยครับ จะไม่มีลักษณะของ “พ่อหรือแม่” หลายคนชอบทำตัวเหมือนว่าเป็น “องค์พ่อ” หรือ “องค์แม่” บางคนเรียกคนอื่นว่าลูก ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะของเพศฆราวาสทั้งสิ้น สมณเพศนั้นไม่เอาเรื่องทางโลกแล้ว ลูกก็ไม่เอา คู่ครองก็ไม่เอา แต่ถามว่ายังมีกิเลสไหม? ก็มีได้ครับ อะไรที่บ่งบอกความเป็นเพศชายหรือหญิง ล้วนไม่มีความสำคัญ คนอื่นจะมองเราเป็นอะไร ล้วนไม่สำคัญครับ

การทำงานคือการฏิบัติธรรม
เป็นหลักการปฏิบัติธรรมของฆราวาสที่ต้องการเป็นพระที่ใจ การปฏิบัติธรรมในภาคฆราวาสใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม พูดง่ายแต่ทำยากอีกเช่นกัน หลายคนชอบเอาไปพูด ราวกับว่าตนเองทำได้อย่างนั้นละ แท้จริงแล้วมันยากมาก เพราะอะไร? เพราะเราติดชินกับการทำงานแบบเดิมๆ ด้วยความคิดเดิมๆ ในครั้งที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ ยังอยู่ทางโลกอยู่ เราก็มักจะเผลอคิดแบบเดิมๆ แบบโลกๆ เช่น ทำงานแล้วได้ค่าจ้างมั้ย เจ้านายสั่งให้เราทำอะไร? หากไม่มีใครสั่ง เราก็จะเคว้ง และทำด้วยตัวเอง ด้วยใจอิสระไม่เป็น หลายคนยังติดชินการทำงานแบบเดิมๆ อยู่ นั่นยังไม่ใช่การทำงานที่เป็นการปฏิบัติธรรมนะครับ สองอย่างนี้ต่างกันครับ

๔ ธรรมแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว
ธรรมภาคฆราวาสอุปมาเหมือน “น้ำกลิ้งบนใบบัว” น้ำคือเรา, ใบบัวคือทางโลก เราต้องอยู่ทางโลกเหมือนหยดน้ำที่ต้องอยู่บนใบบัว แต่ไม่ติดใบบัว กลิ้งไปมาได้อย่างนั้น การอยู่ทางโลกแต่ไม่ติดทางโลกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ หลายคนมักเผลอคิดไปเอง อุปทานไปเองว่าตนไม่ติดทางโลกแล้ว ทว่า มักไม่จริงครับ มันต้องมีการทดสอบแล้วผ่านให้ได้ก่อน ไม่ใช่การไปคิดเอาเอง อุปทานเอาเองว่าเออ เราทำได้แล้ว ของแท้ทุกอย่าง มันจะต้องถูกทดสอบก่อนว่าแท้จริงไหม? เพื่อให้เรามั่นใจว่าเราไม่ได้คิดไปเองคนเดียว หลายคนก็ยังไม่แท้ บ้างคลายจากวัตถุสิ่งของ ก็มาติดนามธรรมแทน มาติดธรรมแทน ติดการปฏิบัติแทน แบบนี้ก็มีไม่น้อยครับ

๕ ธรรมวินัยของฆราวาส
ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมต้องมีธรรมวินัยครองตน พระก็ยังมีธรรมวินัยเลย ถามว่าแล้วฆราวาสมีธรรมวินัยด้วยมั้ย คำตอบคือ มีแน่นอน แค่ศีลห้าได้หรือเปล่า จริงๆ แล้วศีลห้าแค่ปุถุชนทั่วไปปฏิบัติแบบปุถุชนเท่านั้นเอง แต่เมื่อใดที่เรามีจิตวิญญาณข้างในเป็นพระจริงๆ แล้ว เราจะมีปกติที่ไม่ทำมากกว่าห้าข้ออีก ธรรมวินัยย่อมมีไม่น้อยกว่าพระที่ถือบวชเลย ทว่า ต้องแยกแยะให้ดีว่า “พระไม่ใช่พราหมณ์ ไม่ใช่ฤษี” นะ หลายคนปฏิบัติธรรมภาคฆราวาส แต่จิตใจไม่ใช่พระ เป็นฤษี เป็นพราหมณ์ฮินดู นับถือเทพฮินดูกันเยอะ บางคนยกตัวเองเป็นเทพเจ้าให้คนมากราบไหว้เลยก็มี บางคนแทบจะตั้งตระกูลพราหมณ์ของตัวเองเลยก็มี อันนี้ไม่ใช่พระ
                             
การปฏิบัติธรรมพุทธเรามีใจเป็นพระ ไม่ใช่พราหมณ์หรือฤษีนะครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?