ธรรมโอสถ : จงหาพิษของคุณเอง



ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวถึง “ธรรมโอสถ” ที่อุปมาเช่น “พิษล้างพิษ” หลายท่านอาจยังไม่เข้าใจนัก ดังนั้น ในบทความนี้ จะขออธิบายถึง ธรรมโอสถแบบพิษล้างพิษ อันเป็นธรรมสายพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ที่ไม่มีในตำราใดๆ แต่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยตนเอง ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ ทำไมธรรมะต้องเป็นพิษล้างพิษ?
ไม่มีธรรมะใดที่ไม่เป็นพิษดอก เพราะอะไร? เพราะธรรมะไม่ใช่สัจธรรม ไม่มีสิ่งใดแทนที่ความจริงที่เป็นได้ คำว่า “ความจริง” ก็ไม่อาจแทนที่ความจริง ที่แท้จริงได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การแสดงธรรมก็มิอาจแทนที่สัจธรรม นิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ ไม่เคยแทนที่ดวงจันทร์ได้ ทว่า ผู้ชี้แนะก็ยังต้องทำหน้าที่นิ้วที่ชี้ดวงจันทร์อยู่เช่นเดิม ธรรมะย่อมมิใช่สัจธรรมความจริง ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดที่เราหลงยึดมั่นเอาธรรมะใดก็ช่าง จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ช่างมาหมักดองไว้เป็นอาสวะกิเลส เมื่อนั้นมันก็จะเกิดพิษขึ้น และเราจะต้องล้างให้เป็นศูนย์ที่เรียกว่า “สุญตา” การล้างให้เป็นศูนย์ไม่ใช่การคิดไปเองว่าเราไม่ยึดติดแล้ว แต่จะต้องมาจากการใช้พิษแก้พิษอย่างถูกต้อง

สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นทั้งยาและพิษ
ดังที่กล่าวแล้วว่าพิษเกิดจากการสะสมหมักดองของธรรมะ กลายเป็นอาสวะกิเลสภายใน จนต้องใช้พิษล้างพิษให้เป็นสุญตาไม่ว่าจะเป็นธรรมใดกุศลหรืออกุศล ไม่ต่างกัน ความดี, ความชั่ว, ความถูก, ความผิด ฯลฯ ล้วนเป็นพิษได้เพราะการหมักดองทั้งสิ้น ทว่า สิ่งที่เป็นพิษนี้ก็เป็นยาด้วยเช่นกัน มันคือธรรมโอสถได้เช่นกัน ธรรมะก็คือพิษ, พิษก็คือธรรมะ เมื่อคนเราได้รับพิษธรรมะอย่างหนึ่งมากๆ เข้า ก็จะต้องล้างด้วยพิษธรรมะอีกอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกัน เพื่อให้เป็น “สุญตา” เท่านั้นเอง ดังนั้น จืงกล่าวว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นธรรมะ และเป็นพิษ ในขณะเดียวกันก็เป็นยาด้วย มันคือ “ธรรมโอสถ” ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องหยิบใช้ให้ถูกต้องเท่านั้น

ธรรมะที่เป็นพิษ แต่ล้างพิษ?
ธรรมะที่ใช้รักษาโรคนั้นเหมือนยาพิษดีๆ นี่เอง แต่มันคือยาพิษที่ใช้ล้างพิษ ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าจะได้เจอธรรมะที่ดีงาม ในเมื่อคุณไม่ได้เริ่มต้นจากใสบริสุทธิ์ ในเมื่อคุณได้รับรู้ เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่เป็นอวิชชามาก่อน เมื่อนั้น คุณย่อมต้องได้รับพิษ เพื่อล้างพิษแห่งอวิชชานั้นให้เป็นสุญตา หลายคนมีอาการต้องพิษธรรมะ ไม่ว่าจะไปศึกษาธรรมะแนวใดมา ที่ใดมา จากใครมา เมื่อได้รับรู้มาแล้วก็จะเกิดอาการ “กูรู้” แล้วไปพล่ามพูด อวดคนอื่นบ้าง เอาชนะคะคานกันบ้าง ฯลฯ นี่หละ อาการของพิษธรรมะ คนไทยโบราณเรียกว่า “ร้อนวิชา” ธรรมะทุกอย่างล้วนเป็นพิษ เพราะมันแทนที่สัจธรรมไม่ได้ แต่เราก็ต้องหยิบยืมใช้มันเป็นยาเพื่อล้างพิษ!

๔ ตัวอย่างการใช้พิษล้างพิษ
ผู้เขียนเคยมีอาการประหลาดคือ “ง่วงนอนทั้งวันทั้งคืน” กลางวันก็ง่วงนอน กลางคืนก็ง่วงนอน ตื่นมาก็ไม่สดชื่น เหมือนนอนไม่อิ่ม นอนเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที นี่คือ “อาการของพิษบางอย่าง” นอกจากนี้ เมื่อนอนหลับไปแล้วเหมือนคนตาย พลังสลายหมด แทบไม่มีแรงจะลุก ต่อมา ผู้เขียนได้ “เล่นเกมออนไลน์” เพราะมองว่าเด็กติดเกมมีมาก เราต้องเรียนรู้อย่างที่เขาเป็น หากต้องการจะโปรดเขาก็จะต้องมีประสบการณ์ ผ่านการติดเกมมาเหมือนเขา แล้วผ่านมันไปให้ได้ ผลปรากฏว่า ผู้เขียน “นอนไม่หลับ” ทั้งคืน ตื่นตัวเล่นเกมตลอด กลางวันที่เคยง่วงหมดแรง ก็ไม่ง่วง จนในที่สุด ก็ “พอดี” คือ กลางวันไม่ง่วง กลางคืนง่วงและนอนได้ปกติ?

๕ อย่าไปเลือกแต่ของดี มันไม่มีอะไรดีหรอก
สรรพสิ่งในโลกคือธรรมะ ธรรมชาติ ไม่เที่ยง อย่าไปยึดติดมัน มันไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่มันก็ไม่ใช่ไม่ดีจนเราจะต้องอดรนทนไม่ได้กับมัน หรือจะต้องไปปฏิเสธมันก็หาไม่ ทุกอย่างคือธรรมะ คือพิษ แต่มันก็คือยาที่ใช้ล้างพิษด้วยเช่นกัน เราต้อง “เลือกใช้ให้ถูก” ถูกโรค, ถูกคน, ถูกที่, ถูกเวลา ฯลฯ ก็เท่านั้นเอง แต่เราต้องไม่ลืมว่า “มันคือยาพิษ” อย่าใช้ยาจนติด อย่าคิดว่ายาคือทุกสิ่งที่เราขาดไม่ได้ อย่าคิดว่ายาคือของดี มันก็คือพิษดีๆ นี่แหละ การที่หลวงปู่ หลวงพ่อ ด่าเราแสบๆ มันอาจเป็นพิษที่ใช้ล้างพิษความหลงตัวเองของเราก็ได้ ตรงข้าม คำพูดหวานๆ ของคนบางคน อาจเป็นพิษที่ทำให้เราลุ่มหลง มัวเมาอยู่ นั่นก็พิษไม่ต่างกันเลย
                             
อยู่ในโลก ต้องรู้จักหยิบยืมใช้สมมุติ ยาพิษเพื่อล้างพิษให้เหมาะสม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?