การดำรงอยู่ในโลกแห่งพิษ
ในบทความก่อนได้อธิบายแนวคิดของธรรมะในสายพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าแล้วว่าธรรมะคือยาพิษ
ในขณะ เดียวกันพิษก็เป็นยารักษาโรคด้วย เรียกว่า “พิษล้างพิษ” เพราะธรรมะไม่ใช่สัจธรรม
ไม่อาจแทนที่สัจธรรมความจริงได้ ในบทความฉบับนี้จะขออธิบายต่อไปในหัวข้อจะดำรงอยู่ในโลกแห่งพิษนี้ได้อย่างไร
ดังต่อไปนี้
๑ ความไม่แปดเปื้อนในโลก
ไม่มี
อย่างแรก
เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งให้ได้ก่อนว่าเมื่อเราลงมาเกิดในโลกนี้แล้ว
เราจะอยู่อย่างไม่มีความแปดเปื้อนอะไรเลยนั้น “เป็นไปไม่ได้” เราจะต้องแปดเปื้อนด้วยกรรมด้วยธรรมชาติต่างๆ
เป็นธรรมดา และสิ่งแปดเปื้อนเหล่านั้นก็คือ ธรรมะ เรื่องธรรมดาของโลก
และธรรมะเหล่านี้ล้วนเป็นพิษ ในขณะเดียวกันก็เป็นยารักษาโรคแบบพิษล้างพิษอีกด้วย
เมื่อเราล้างพิษแรกหมดไปด้วยพิษที่สองแล้ว เราจะต้องเจอพิษที่สาม, สี่, ห้า ฯลฯ
ตามมาอีกเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกครับ
เพราะเราจะหนีไม่ยอมแปดเปื้อนอะไรเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงแสดงออกมาได้เรื่อยๆ
ไงครับ
๒ รับพิษอย่างหนึ่ง
เพื่อแก้พิษอย่างหนึ่ง
นี่คือ สิ่งที่จะเกิดขื้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เราจะได้รับพิษอย่างหนึ่ง และต้องรักษาด้วยพิษอีกอย่างหนึ่งเรื่อยๆ
ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม เมื่อเราได้รับมากๆ เข้า นานวันเข้า
มันก็จะกลายเป็นพิษ เช่น น้ำตาลที่ดูไม่มีพิษ แต่ถ้ากินมากๆ สะสมนานวันเข้าก็ทำให้เราเป็นโรคเบาหวาน,
ความดัน ฯลฯ ได้ แม้แต่น้ำเปล่าที่ดูบริสุทธิ์ ไม่มีพิษ แต่ถ้าได้รับมากๆ เข้า
ก็ทำให้ร่างกายบวมน้ำได้ เห็นไหม ทุกอย่างล้วนเป็นพิษได้ทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน
มันก็เป็นยารักษาโรค ล้างพิษอย่างอื่นอีกด้วย เราจะต้องอยู่ในวัฏจักรนี้ คือ
ได้รับพิษและมีอาการต้องพิษในระยะหนึ่ง
จนได้รับการรักษาด้วยพิษอีกอย่างก็จะหาย และจะได้รับพิษชนิดใหม่ต่อไป
๓ โลกนี้เป็นโรคแห่งพิษ
ผู้ที่ตื่นแจ้งโลกแล้ว
ย่อมเห็นว่าโลกนี้ไม่ใช่ที่จะหลง ติดพันหรือดำรงอยู่ได้ตลอดไป สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรมะ
และมันก็เป็นพิษ พร้อมๆ กันนั้นก็เป็นยาล้างพิษด้วยเช่นกัน เหมือน “สมมุติธรรม”
ที่เราเพียงหยิบยืมใช้มัน ใช้แล้วจบๆ ไป แล้วเคลื่อนไปสู่สมมุติใหม่ ธรรมชนิดใหม่
ฯลฯ เท่านั้นเอง หากยังไม่ตื่นแจ้งในธรรม ก็จะคิด ก็จะหลงในธรรมว่าดีเหลือหลาย
หลงว่าเรามีธรรม เราค้นพบธรรมแล้วธรรมนี้ดีเลิศเหลือเกิน การยึดติดเอาธรรมะเป็น
“ตัวกูของกู” ก็เกิดขึ้น
เมื่อนั้นจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งว่าธรรมะของกูถูก ธรรมะของคนอื่นผิด
ธรรมะแบบนี้ดี ธรรมะแบบนั้นไม่ดี ฯลฯ “ธรรมะอัตตา” อาการของพิษก็เป็นเช่นนี้
แม้แต่นิพพานก็เช่นกัน
๔ การยึดนิพพานเป็นอัตตา
เกิดจากการไม่ตื่นแจ้งในธรรมว่าเป็นอนิจจัง
อนัตตา เมื่อได้รับรู้เรื่อง “นิพพาน” ก็ยึดติดเอานิพพานนั้นเป็นของเที่ยง เป็นตัวกูของกูว่า
“กูได้ยึดครองนิพพานแล้ว” กูได้นิพพานแล้ว นิพพานเป็นของกูแน่แท้แล้ว
มันมีแบบนี้เยอะเลย หลายคนเป็นแบบนี้ คิดว่าตายแล้วกูจะต้องได้นิพพาน นี่แหละ การยึดติดนิพพาน
การเอานิพพานเป็นตัวกูของกู ทว่า หลายคนไม่รู้ตัว ไม่มีสติ ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้
ไม่ช่วยให้หลุดพ้นอะไรเลย มันเป็นแค่อาการของพิษธรรมะ
ของการหมักดองความต้องการนิพพานเอาไว้ ไม่มีจบสิ้นเท่านั้นเอง
มองดูผิวเผินก็ดูเหมือนพระอรหันต์มากๆ เพราะอยู่แต่เรื่องนิพพาน จริงไหมครับ? ทว่า
ถ้ามองให้ดีๆ แล้วจะรู้ว่าไม่ใช่ครับ
๕ ตัวอย่างธรรมะที่กลายเป็นพิษ
เช่น
การหลงพุทธะ เอาพุทธะมาเป็นตัวตนก่อเกิดลัทธิ “จิตคือพุทธะ”, การหลงจิต เอาจิตมาเป็นตัวตน
ก่อเกิดลัทธิ “จิตหนึ่ง”,
การหลงความว่างเปล่า สุญตา เอาความว่างมาเป็นตัวตนก่อเกิดลัทธิ “นิรัตตา” เป็นต้น
คนเราเมื่อได้รับฟังธรรมะถูกใจตัวเองแล้วเมื่อใด มักจะยึดเอาธรรมะนั้นๆ เป็นตัวกูของกูทันที
พอไปฟังเรื่อง “พุทธะ” ก็ยึดว่า “กูคือพุทธะแล้ว” เป็นต้น นี่แหละ
จุดเริ่มต้นของพิษ และการจะล้างพิษนั้นไม่ง่ายเลย คนที่ต้องพิษจะมีอาการต่างๆ
พล่านไป ที่ชัดเจนมากๆ คือ การทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นว่าธรรมะของตนนี้ ถูก
ธรรมะที่ต่างจากของตนนั้นผิด อันนี้จะเห็นชัดมาก และเราไม่อาจเตือนสติเขาได้เลย
เขาจะต้องพิษไปนาน
จนกว่าจะได้รับพิษที่ล้างพิษเก่าได้
เขาก็จะหายจากพิษนั้นๆ ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น