“เทวสภาวะ” เป็นอย่างไร?
ในบทความก่อนได้อธิบายลักษณะของมนุษย์โดยคร่าวๆ
ไปแล้ว ในบทความนี้ จึงอยากจะขออธิบายในเรื่อง “เทวสภาวะ” ซึ่งเป็นสภาวะที่พบได้ในคนบางคนได้
เรียกว่า “มนุสสเทโว” ไม่ใช่มีแต่ในเทพเทวดาแค่นั้น ทว่า
ลักษณะของเทวสภาวะนั้นยากที่จะสังเกตุและแยกแยะแต่ก็พอจะสังเกตุได้บ้าง ดังต่อไปนี้ครับ
๑ พ้นแล้วจากความเป็นปุถุชน
หากยังชุ่มโชกด้วยความเป็นปุถุชน
คนผู้นั้นก็ย่อมไม่อาจมีเทวสภาวะได้ครับ ทั้งนี้ เทวสภาวะจะเริ่มมีตั้งแต่ระดับ
“เทพนักษัตรหรือเทพสัตว์” เช่น เทพม้า, เทพช้าง ฯลฯ เทพเหล่านี้เป็นเทพชั้นต่ำสุด
เวลาทำงานต้องได้สิ่งตอบแทนเหมือนสัตว์ที่เราต้องล่อให้ทำงานด้วยการให้สิ่งตอบแทนครับ
แต่คุณภาพงานจะดีมาตรฐานสูง ทั้งนี้เทวสภาวะไม่ใช่อรหันต์หรือพุทธสภาวะ ดังนั้น
จะมีกิเลสเป็นปกติแต่จะเป็นกิเลสขั้นเทพ ไม่ใช่แบบปุถุชนครับ เช่น
ความต้องการรวมโลกเป็นหนึ่งเดียว แบบนี้ไม่ใช่ปุถุชนต้องการแน่
มีแต่ระดับเทพจริงมั้ยฮะ หากยังไม่เห็นภาพ ให้ดู “ตาสีตาสา” กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ”
เจ้าหน้าที่รัฐคือรูปแบบหนึ่งของการฝึกให้เป็นเทพ
๒ ความมีระดับ
มีรสนิยมสูง
มีมาตรฐานในการทำงาน,
การใช้ชีวิตก็มีคุณภาพสูง, การมีรสนิยม ฯลฯ เหล่านี้ เป็นเครื่องสังเกตุอย่างหนึ่งว่าคนๆ
นั้นอาจมีเทวสภาวะ และอาจเป็น “มนุสสเทโว” ครับ “การติดหรู” เป็นลักษณะหนึ่งของคนที่เคยอยู่บนสวรรค์แล้วลงมาเกิดยังโลก
เมื่อยังไม่ชินกับโลก ปรับตัวยังไม่ได้ดี ก็มักจะติดชินอะไรเดิมๆ แบบสวรรค์ก็คือ
ความงดงามหรูหราครับ ซึ่งเทพบรรพกาลยุคก่อนๆ
ตอนเริ่มสร้างโลกท่านจะสมถะไม่ติดหรู เพราะโลกยังไม่มีสิ่งประดิษฐ์อะไรมาก
ส่วนเทพรุ่นหลังๆ ระดับลูกหลาน จะติดหรูกันมาก เพราะเพิ่งลงมาเกิดยังโลก
ก็เลยยังไม่ชิน เราก็จะเห็นพวกเขา “ติดหรู” มีรสนิยมสูงได้ ส่วนเทพรุ่นก่อนๆ
จะดูกันที่ความมีธรรมสูงครับ
๓ ต้องเก่ง
ต้องดี ไม่ใช่พวกขี้ๆ
นี่คือ ข้อแตกต่างระหว่างเทพกับมนุษย์
ในขณะที่มนุษย์อาจมีห่วยบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้าง เอาแน่เอานอนไม่ได้
แต่เทพจะตรงข้าม เทพจะต้องมีความเหนือชั้น ไม่ใช่พวกกากๆ
เดนๆ ขี้ๆ หรือโชว์ห่วยไปวันๆ แน่นอน ไม่งั้นจะเรียกว่า “ขั้นเทพ” ได้อย่างไรครับ?
ในขณะที่มนุษย์ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องดี ขนาดนั้นก็ได้ เราก็ยังเป็นมนุษย์ได้
เอาตัวรอดได้ อยู่ในโลกนี้ได้ ดังนั้น คุณต้องเข้าใจนะว่าคนเราในโลกมันมีหลายแบบ
แบบที่อยู่แบบปุถุชนตาสีตาสาไปวันๆ ก็มี แบบที่มีมาตรฐานสูงขั้นเทพ ก็มี นอกจากนี้
เทพคือครูของมนุษย์ มนุษย์จะต้องเรียนรู้จากเทพ และมีเทพเป็นต้นแบบ มนุษย์จึงเรียกได้ว่าสัตว์ประเสริฐ
คือ สัตว์ที่สอนได้ครับ
๔ เทพมีระดับสูงต่ำตามตำแหน่ง
เทพชั้นล่างนั้นจะต้องขึ้นต่อเทพชั้นบนเช่น
เทพสวรรค์ในโลกทั้งหกชั้น จะตกอยู่ใต้อำนาจของมหาเทพฮินดูที่มาจากพรหมโลกซึ่งยิ่งใหญ่กว่าได้
เขาจะทำอย่างไร? ง่ายๆ ก็เช่น ใช้กามและการครองคู่เป็นเครื่องมือในการควบคุมเทพในโลกนี้
แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจแห่งกามเลย
จิตเรามีความวิเวกสันโดษล้นเกินขอบเขตของโลก เราก็จะไม่ใช่เทพบนโลกนี้อีกต่อไป
เราจะเลื่อนระดับเป็นเทพในพรหมโลกที่ห่างไกลจากกามได้ ดังนั้น เทพที่เหนือเรา
เขาจะกดข่มและควบคุมเราลงให้เราอยู่ในโลกนี้ก็ได้ ด้วยการเอากามมาล่อเราครับ ทั้งนี้
มิใช่ว่าเทพชั้นบนจะข่มเราลงด้วยกามเสมอไป เพราะมีอีกหลายวิธีในการควบคุมเราครับ
๕ มีธรรมอันเป็นธรรมะ
ธรรมชาติ
เทพไม่จำเป็นต้องไปฟังธรรมแล้วจึงจะมีธรรมนะครับ
แต่ท่านจะมีธรรมที่เป็นธรรมะ ธรรมชาติของท่านเอง เช่น เทพน้ำ, เทพไฟ ก็มีธรรมะ
ธรรมชาติของธาตุน้ำ, ธาตุไฟเป็นปกติ โดยไม่ต้องให้ใครมาเทศนาสอนครับ
สวรรค์เขาไม่มีการสอนกัน หากมิใช่ “เทพกุมาร” มีแต่เทพกุมารที่อยู่ในฐานะที่ถูกสอน
เทพที่ไม่ใช่เทพกุมาร เขาจะใช้ “การสนทนาธรรม” กันเฉยๆ เขาไม่ใช่เด็กแล้วที่จะให้ใครไปสอนฮะ
ครั้งหนึ่ง หลวงปู่มั่นสอนธรรมเทวดา
แล้วพระอินทร์ท่านก็ทรงราชรถลงมา ถามว่า “ท่านคือพระพุทธเจ้าหรือ?” หลวงปู่มั่นท่านก็ตอบว่า
“ไม่ใช่” ครับ เรื่องนี้ความหมายคือ พระอินทร์ลงมาเตือนไม่ให้หลวงปู่มั่นสอนเทวดา
เพราะไม่ใช่หน้าที่ครับ
เทพกับมนุษย์แตกต่างกัน
จะปฏิบัติแบบไหนก็ได้ แต่อย่ามั่วครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น