การไม่ยึดติดอะไรเลยอาจเป็นมารก็ได้?
หลายคนชอบทำตัวเหมือนว่า
“ไม่ยิดติดอะไรแล้ว” เพราะอะไร? เพราะหลายคนเห็นพระอรหันต์เป็นเช่นนั้น ตนเองอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง หรืออยากได้รับการยอมรับจากสังคมเลยพยายามเป็นเช่นนั้นบ้างแล้วก็เลยไปทำตัวเลียนแบบอรหันต์
ทว่า การไม่ยึดติดนั้นอาจไม่ถูกทางก็ได้ ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ
๑ มรรคกับผล
มรรคกับผลเป็นสิ่งคู่กัน
หากเราไม่สนใจมรรค เราจะเอาแต่ผลเราก็อาจเดินมรรคผิดทางได้ สุดท้าย
เราอาจได้ผลเหมือนสำเร็จอรหันต์เลย ปล่อยวางได้ทุกอย่าง ทว่า มันอาจไม่ใช่
ไม่ถูกทางก็ได้ครับเช่น ถ้าเราไม่เอาอะไรเลย ด้วยการละทิ้งหน้าที่, การงาน,
ครอบครัว ฯลฯ ไปหมด ใครจะบอกจะเตือนเราดื้อด้านไม่ฟังทั้งนั้น ด้วยอำนาจทิฐิมานะของเรา
จนเราสำเร็จสูงสุดได้ด้วยทิฐิแห่งความดื้อรั้นนั้นเอง แบบนี้ละคือวิถีมารไงครับ
คือ หวังเอาแต่ผล ได้ผลเหมือนอรหันต์เลย ทว่า มรรควิธีมันไม่ใช่
มันเป็นมรรควิธีของมาร สุดท้าย เป็นมารได้ด้วยการไม่ยึดติดอะไรเลย
ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ไม่อะไรกับอะไรทั้งนั้น ปฏิเสธไปหมดทุกอย่าง ไร้ไปหมด
๒ ญาณสิบหก
มรรคผลมีอยู่จริง
หากเราไม่สนใจมรรค จะเอาแต่ผลอาจเข้าทางมารได้ดังที่กล่าวไว้แล้ว
ในพุทธศาสนาได้บอกเรื่องญาณไว้เป็นขั้นๆ เรียกว่า “ญาณสิบหก”
เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง จะมีความก้าวหน้าตามลำดับญาณนั้น นี่ไม่ใช่ความยึดติด
แต่มันเป็นแค่ธรรมะธรรมชาติของการดำเนินไปของมันเช่นนั้นเอง
การตรวจดูญาณสิบหกว่าสำเร็จเป็นขั้นๆ ตามลำดับไปหรือไม่
ก็เพื่อที่จะเช็คดูได้ว่าเราเดินมาถูกทางไหม ไม่ใช่เพื่อจะยึดติด
เพราะอรหันตผลนั้นจะต้องมีมรรคมาก่อน มรรคกับผลเป็นของคู่กัน เราไม่ได้ยึดติดมรรค
แต่เราต้องรู้ไว้เพื่อตรวจสอบตัวเองว่าผลที่เราได้มานั้น “ถูกต้องจริงไหม?” ไม่ใช่บอกไม่ยึดติดอะไร
แล้วก็เป็นอรหันต์ได้แล้ว
๓ การลัดขั้น
การลัดขั้นตอนอยากเป็นพระอรหันต์เร็วๆ
เลยไปดู “ผล” ว่าผลมันเป็นยังไง แล้วก็ทำตามผลนั้น ให้เรามีผลเหมือนพระอรหันต์นั้น
ถามว่าแบบนี้จะทำให้เราเป็นอรหันต์ของแท้ได้ไหม? มันก็ไม่ได้ ไม่ใช่ครับ
การลัดขั้นเลยทำให้คนเป็นมาร มีมิจฉาทิฐิแรงเกิดขึ้นว่า
“ฉันเป็นอรหันต์แล้ว ฉันมีธรรมแล้ว” ทั้งที่จริงอาจไม่ใช่ หลงผิดอยู่ก็ได้ครับ
หลายคนเหลือเกินใช้วิธีแบบนี้คือ ไปดูว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร?
แล้วก็ทำตัวเหมือนท่านนั้น จะได้ให้คนยอมรับว่าตัวเองคือพระอรหันต์
ทั้งที่ไม่มีการเดินมรรค ไม่เจริญมรรคแปดอันใดมาก่อนเลย เห็นพระอรหันต์ไม่ยึด
ก็ทำตัวเหมือนไม่ยึดบ้าง เห็นพระอรหันต์ให้คนกราบ ก็นั่งให้เขากราบไหว้ตามบ้าง
๔ มารเหมือนอรหันต์?
จริงครับ
โดยเฉพาะพญามาราธิราชนั้นมีร่างเป็นพุทธะเหมือนพระพุทธเจ้าทุกประการ
ที่เขามีอย่างนี้เพราะเขาทำบุญแล้วอธิษฐานให้ผลบุญเป็นเช่นนั้น ทว่า
บุญไม่ใช่การสร้างบารมีเต็ม พญามารไม่ทันสร้างบารมีได้เต็มเลย อาศัยทำบุญเอาเพื่อให้ตนเองได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้สมใจ
ได้ตามผลบุญ แต่ไม่ใช่ของจริงครับ นอกจากนี้ สาวกมารอีกมากมายก็ทำแบบเดียวกัน
จนสำเร็จกลายเป็นมารที่มีร่างเหมือนอรหันต์กันหมดก็มี เหตุนี้ไม่แปลกอะไรเลยที่เมื่อครั้ง
“พระอุปคุต” อยากเห็นพระพุทธเจ้าแล้วพญามารแปลงกายให้ดู แล้วก็แยกแยะไม่ออกครับ
ดังนั้น เราอย่าไปคิดว่ามารต้องดูน่ากลัว ดูร้าย จริงๆ
แล้วคือพระที่มีมิจฉาทิฐินี่ละครับ
๕ ไร้เจตนาไม่ยึดติด
บางคนไปตั้งเจตนามากเกินว่าจะ
“ไม่ยึดติด” ครับ การตั้งเจตนาแบบนี้ก็คือการยึดติดอย่างหนึ่งนั่นแหละ
คือ ยึดติดความไม่ยึดติดไงครับ เมื่อหลงตัวเองไปแล้วว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง
ตัวเองปฏิบัติได้แล้ว มีความเป็นพระอรหันต์แล้ว ทีนี้เองก็จะเกิด “มิจฉาทิฐิ” ขึ้น เมื่อนั้นละ
ความเป็นมารก็เกิดขึ้นไงละครับ
เห็นลำดับการเกิด การเป็นมารหรือยังครับ? นี่แหละที่กล่าวว่า “การไม่ยึดติดอะไรเลยก็อาจเป็นมารได้”
ดังนั้น พระอรหันต์ที่แท้จริงท่านไม่ได้ยึดติดหรอกครับว่าจะต้องไม่ยึดติด เราไปคิดกันเองว่าท่านจะต้องไม่ยึดติดต่างหาก
สุดท้ายแล้วคนที่ยึดติดก็คือเราเอง หาใช่พระอรหันต์ไม่ พระอรหันต์ท่านไร้เจตนาไม่ยึดติดแต่แรก!
เมื่อไร้เจตนา ก็เป็นไปตามธรรมะ ธรรมชาติ
ไม่ได้มาจากคิดเอาครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น