พุทธเกษตร ที่หลายท่านเข้าใจผิด?
หลายท่านมักเข้าใจผิดในพระสูตรสุขาวดีที่ว่าแค่เอ่ยพระนามของพระอามิตภะก็จะได้ไปอยู่สุขาวดี
ไม่ใช่ครับ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นสุขาวดีก็เต็มไปด้วยตัวเหี้ยหมดแล้ว ฮ่าๆๆ
เข้าใจผิดนะครับ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องของการไปเกิดยังพุทธเกษตรที่หลายท่านไปอ่านพระสูตรมาแล้วเข้าใจกันผิดๆ
ดังต่อไปนี้
๑ ต้องมีลำดับคิว
บนพุทธเกษตรนั้นจะไม่มีการสร้างวิมานใหม่เหมือนโลกเรานะครับ
วิมานจะมีเท่าที่มี ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้น แต่ “เจ้าของวิมาน” เปลี่ยนแปลงได้
หากพุทธเกษตรนั้นยังมีที่ว่างครับ เช่น ตำแหน่งโพธิสัตว์บางตำแหน่งที่ว่าง
ยังไม่มีใครทำได้ แบบนี้ถ้าคุณบำเพ็ญสำเร็จจะไปประจำก็ได้
และเมื่ออยู่แล้วจะลงมาเกิดในโลกใหม่ก็จะต้องสละวิมานไปครับ
โพธิสัตว์องค์อื่นก็จะมาอยู่แทน ดังนั้น ไม่ใช่อยู่ๆ คุณสำเร็จโพธิสัตว์แล้ว
อยากได้สุขาวดีก็จะต้องได้ ไม่ใช่ครับ คุณจะต้อง “รอคิว” ก่อน
ถ้าว่างก็ได้ถ้าไม่ว่างก็ไม่ได้หรือรอต่อไปครับ แม้แต่สวรรค์ชั้นต่างๆ
ตำแหน่งเทพที่สำคัญๆ ก็มีลำดับคิวทั้งสิ้น เหมือนพระพุทธเจ้าก็มีลำดับคิวเช่นกัน
๒
ต้องบำเพ็ญตามลำดับขั้น
ผู้ที่ปรารถนาจะไปเกิดยังพุทธเกษตรนั้นจะต้องบำเพ็ญตามลำดับ
จากภพภูมิชั้นต่ำสุด เช่น ปีศาจ เป็นต้น แล้วไต่เต้า วิวัฒนาการขึ้นไป
อย่าคิดว่าคุณเป็นโพธิสัตว์แล้วจะไม่ต้องกลับมาเป็นปีศาจอีก
หากมีการแบ่งภาคเมื่อใด ภาคแบ่งมีโอกาสตกลงสู่ความเป็นอสูรหรือปีศาจได้เสมอๆ เป็นปกติครับ
อันนี้ต้องทำใจยอมรับให้ได้ ภาคแบ่งของโพธิสัตว์ ปกติจะออกมาเป็นอสูรมังกรดำแต่ก็มีที่แบ่งภาคออกมาเป็นอย่างอื่นเช่นกันฮะ
จากนั้นจะต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อวิวัฒนาการในสังสารวัฏหรือในสามภพของโลกนี้ก่อนจนเมื่อบารมีเต็มแล้ว
ก็จะสำเร็จเป็น “มหาโพธิสัตว์”
เมื่อนั้นก็จะได้อาญาสิทธิ์อาญาธรรมในพุทธเกษตรที่ต้องการเต็มที่ครับ
๓ รับไว้ไม่ได้แปลว่าจะต้องได้ในทันที
หลายท่านเข้าใจผิดในพระสูตรเกี่ยวกับพุทธเกษตร
เช่น พระสูตรสุขาวดียุวหสูตร คิดว่าแค่ทำแบบนั้นแล้วจะต้องได้สุขาวดีหลังจากที่ตายลง
จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ความหมายที่แท้จริงคือ “ท่านรับไว้ก่อน”
พระยูไลท่านจะรับเราไว้ในการดูแล แต่ไม่ใช่ว่าเราจะได้ไปเกิดยังสุขาวดีทันทีหลังตายนะครับ
เรายังต้องบำเพ็ญอีก หลายต่อหลายชาติ จนกว่า “บารมีจะเต็ม” แล้วเราจึงเกิดในโลกนี้ไม่ได้อีก
จะต้องไปอยู่พุทธเกษตรอย่างเดียว คำว่าบารมีเต็มไม่ได้แปลว่าจะต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระมหาโพธิสัตว์บางองค์ไม่ปรารถนาที่จะสำเร็จพุทธะ ยอมเป็นโพธิสัตว์เพื่อรับใช้พระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดไปก็มี
โพธิสัตว์แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน
๔ บารมีเต็ม
หมายความว่าอย่างไร?
บารมีเต็มหมายความว่าเต็มแล้วบำเพ็ญบารมีต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เช่น พระมหาโพธิสัตว์ที่ปรารถนาจะเป็นพระโพธิสัตว์ช่วยเหลือกิจพระพุทธเจ้า
บางองค์บารมีเต็มแล้ว หากบำเพ็ญต่อไปจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แบบนี้บำเพ็ญบารมีต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ทำอะไรนิดหน่อย นิดเดียวอาจสำเร็จพุทธะเลย เพราะสุกงอมเต็มที่แล้วนั่นเอง พระโพธิสัตว์มีหลายแบบบางแบบปรารถนาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า
“นิตยโพธิสัตว์” บางแบบไม่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า “มหาโพธิสัตว์” ผู้ที่ปรารถนามากก็ต้องเหนื่อยยากมากกว่าจะเต็ม
ผู้ที่ปรารถนาน้อยก็เหนื่อยน้อยหน่อย บารมีก็เต็มแล้ว
เมื่อเต็มแล้วต้องอยู่ที่พุทธเกษตรอย่างเดียวครับ
๕ การไม่กลับมาเกิดในวัฏสงสารอีก?
คำว่า
“ไม่กลับมาเกิดในวัฏสงสารอีก” ไม่ได้แปลว่าจะหายสูญไป ไม่ใช่
แต่หมายความว่าบารมีเต็มล้นจนไม่อาจเกิดเป็นสัตว์หรือชีวะใดในสามภพหรือในโลกนี้ได้อีกแล้ว
ต้องประทับอยู่แต่เพียงพุทธเกษตรเท่านั้น หากต้องการลงมาช่วยโลกก็ต้อง
“แบ่งภาคอวตาร” ลงมาเกิดอย่างเดียว จะมาเต็มส่วนบารมีไม่ได้ บารมีล้นเกิน
ไม่อาจเกิดเป็นมนุษย์ได้ เข้าใจไหมครับ?
การมาเกิดในโลกนี้ก็เพื่อวิวัฒนาการตัวเองให้ได้บารมีเต็ม แค่นั้นเอง
ไม่ใช่เพื่อที่จะมาอยู่เป็นพระพุทธเจ้าของโลกนี้ๆ ไม่ใช่โลกของพระพุทธเจ้า
โลกของพระพุทธเจ้าเรียกว่า “พุทธเกษตร” ครับ ที่นั่นจะมีทุกอย่างตามความปรารถนาของพระพุทธเจ้าบริบูรณ์อย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้าไม่ได้มาเพื่ออยู่ในโลก แต่แค่ปกครองธรรมกาลเท่านั้นครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น