พ่อแม่ลูกนั่นแหละเจ้ากรรมนายเวร
“กรรมเป็นเรื่องอจิณไตย”
ไม่อาจใช้การคิดการคาดเดาเอาได้ แต่สามารถหยั่งถึงได้ด้วย
“ญาณ” ครับ ซึ่งญาณที่ว่านี้จะไม่ได้มีทุกคน
แม้แต่พระอรหันต์บางรูปก็ไม่มี ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ให้ไปคิดเรื่องนี้กันเอาเอง
ในบทความนี้ ขออธิบายเป็นตัวอย่างว่ากรรมนั้นยุ่งยากและซับซ้อนอย่างไรบ้าง? ดังต่อไปนี้
๑ การหยิบยืมสมมุติและเคารพสมมุติ
“สมมุติธรรม”
คือ ธรรมะธรรมชาติอย่างหนื่ง เหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มสัจธรรมความจริงแท้ไว้เป็นแก่นภายใน
ในทุกสมมุติย่อมมีวิมุติ แลในทุกเปลือกย่อมมีแก่น ดังนั้น จะละเลยสมมุติธรรมไม่ได้
แต่จะหลงสมมุติธรรมว่าเป็นแก่นแท้ก็ไม่ได้เช่นกัน เรื่องกรรมก็เช่นกัน
กรรมนั้นใช้สมมุติธรรมเป็นเครื่องห่อหุ้มเพื่อการชำระกรรมกัน เช่น ใช้สมมุติความเป็นพ่อ,
ลูก เพื่อให้คนสองคนชำระกรรม ชดใช้กรรมกัน เพราะหากไม่ใช้สมมุติธรรมเช่นนี้แล้ว
คนสองคนอาจไม่ยอมอโหสิกรรมต่อกันก็ได้ ดังนั้น อย่าได้หลงสมมุติมากไป บางคนหลงลูก-เมียมาก, บางคนหลงพ่อแม่มาก ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมมุติ และอดีตชาติคนเหล่านี้ก็มักทำกรรมต่อกันมา
๒ การชำระกรรมมีระบบไม่ใช่ตามเวรตามกรรม
สัตว์ทั้งหลายที่มีเวรกรรมต่อกันนั้น
หากปล่อยไปตามเวรตามกรรมแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็จะก่อกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้น จำต้องมีการออกแบบระบบการชำระกรรม ชดใช้กัน “อย่างมีระบบ” ขอย้ำนะครับ
มีการออกแบบระบบการชำระชดใช้กรรมอย่างมีระบบ ไม่ได้มั่ว ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้า
“สำหรับมนุษย์และเทพ” แต่ในสัตว์เดรัจฉานนั้นจะปล่อยตามธรรมชาติครับ
ดังนั้นเราจะเห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนของสัตว์ป่าที่ฆ่ากันกันอย่างดุร้าย
แต่สิ่งนี้จะถูกทำให้ “ไม่มีในหมู่มนุษย์” ทำไมมนุษย์มีจารีตประเพณี, จริยธรรม,
ศีลธรรม ฯลฯ ที่ปกป้องไม่ให้หมู่มนุษย์เป็นอย่างสัตว์ป่า?
ก็เพราะว่ามันมีการสร้างระบบการชำระกรรมรองรับเอาไว้ไงครับ
๓ ระบบการชดใช้เจ้ากรรมนายเวรคือ?
ระบบ
“สมมุติทางโลก” ก็คือระบบที่สร้างมาเพื่อการชำระกรรมและชดใช้กรรมให้กันครับ เช่น
ถ้าอดีตชาติ นาย ก. ฆ่า นาย ข. ตาย นาย ก. จะต้องมาชดใช้ให้นาย ข. จะทำอย่างไร?
หากปล่อยตามเวรตามกรรม ก็อาจจะฆ่ากันไปกันมาไม่จบสิ้น ดังนั้น เขาก็จะให้มาเกิดเป็นพ่อลูกกัน
เป็นต้น เพื่ออาศัยสมมุติธรรมความเป็นพ่อ เป็นลูกกัน ควบคุมเอาไว้
คุมไม่ให้ลูกฆ่าพ่อ คุมให้พ่อต้องทำเพื่อลูก เพื่อให้คนสองคนชดใช้กรรมกัน
คุณคงเข้าใจคำว่า “คู่กรรม” ดี ว่าคนสองคนแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วทำไมมีเวรกรรมต่อกันมากนัก?
นี่แหละ คือ ระบบของโลก มันคือระบบที่ออกแบบมาเพื่อการชำระสะสางพลังงานเก่าอย่างไรละครับ
๔ เราจะดำรงอยู่อย่างไรภายในระบบกรรมนี้?
เมื่อคุณเข้าใจตรง
ชัดแจ้งแล้วว่าระบบกรรมถูกสร้างมาอย่างมีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่การมั่วๆ สุ่มๆ เอา
ต่อไป คำถามคือ แล้วเราจะอยู่ในระบบกรรมเหล่านี้อย่างไร? ก็ไม่ยากครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในโลกนี้ ก็เหมือน “สมมุติมายา” เหมือนละครฉากหนึ่ง
จะว่าเป็นความจริงก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นความไม่จริงเสียเลยก็ไม่ถูก
เช่นนี้เราควรอยู่ในระบบกรรมของโลกนี้อย่างไร? ก็เหมือน “น้ำกลิ้งบนใบบัว”
นั่นแหละครับ กล่าวคือ เราอยู่ในโลกเหมือนหยดน้ำที่อยู่บนใบบัว ไม่ได้หนีโลก
ไม่ได้ปฏิเสธโลกไปไหน แต่เราก็ไม่ได้ติดโลก เช่นดั่งหยดน้ำที่ไม่ติดใบบัวฉะนั้น
เราหนีระบบกรรมไม่ได้ หนีกรรมไม่พ้น แต่เราก็อยู่ได้โดยไม่ยึดติดกับมันครับ
๕ “หยดน้ำบนใบบัว”
พูดง่ายแต่ทำยาก?
ใช่ครับ
พูดมันง่ายแต่ทำมันยาก เช่น บางคนบอกว่าไม่ยึดติดลูก ไม่ยึดติดคู่ครองแล้ว
แต่พวกเขาก็ยังมีทั้งความรู้สึกบวกและลบที่คลายไม่ออก ปล่อยวางไม่ได้เสมอๆ
บางคนไม่หลงรักลูกเมียแล้ว ไม่มีความรู้สึกนี้เลย แต่กลับไปทางตรงข้าม คือ
เกลียดหรือโกรธแค้นลูกเมียแทนก็มี ไม่ต่างอะไรกับลูกตุ้มที่แกว่งไปแกว่งมา
ไม่ได้พอดี ไม่ได้อยู่ตรงกลาง หากไม่มีภาวะบวกเกิน ก็มีภาวะลบเกิน อยู่เท่านั้นเอง
บางคนไปแช่แข็งให้ไม่มีความรู้สึกกับลูกกับแฟน แบบนี้ก็มี แต่ไม่ใช่อีกเช่นกัน
เห็นไหมครับ หยดน้ำบนใบบัว พูดง่ายๆ แต่ทำได้ยากแค่ไหน? การดำรงอยู่ท่ามกลางระบบกรรมนี้
ไม่ใช่ของง่าย ดังนั้น ท่านจึงว่ากรรมเป็นอจิณไตยครับ
คนที่คุณรักก็คือเจ้ากรรมนายเวรที่คุณอาจเกลียดเขามาก่อนครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น