เกิดเป็นมนุษย์ทำกรรมได้แค่ไหน?
แม้หลายท่านจะเกิดมาเป็นมนุษย์
แต่ก็อาจไม่ทราบว่า “มนุษย์ทำอะไรได้บ้างเป็นปกติ” มนุษย์ต้องละเว้นสิ่งใดบ้างเป็นปกติ?
การละเว้นเป็นปกติก็คือ “ศีล” ศีลแปลว่าปกติ คือ ปกติของมนุษย์แล้วมนุษย์จะไม่ทำกรรมใดบ้าง?
เช่น ไม่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน บทความนี้จะขออธิบายว่ามนุษย์ทำกรรมได้แค่ไหน ดังต่อไปนี้
๑ มนุษย์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน
ทำกรรมได้
ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์มาให้เป็นพระอิฐพระปูน
มนุษย์สามารถทำกรรมได้ จากนั้นมนุษย์ก็ต้องรับกรรมด้วยการป่วยและตายครับ
โดยกรรมที่มนุษย์สามารถทำได้นั้นจะไม่มากเกินไป อยู่ในกรอบขอบเขตเรียกว่า “ศิลปะ”
มนุษย์สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้ มากกว่านั้นไม่ได้ เช่น
ถ้ามนุษย์อยากผ่าร่างมนุษย์ด้วยกันก็ทำไม่ได้ ยกเว้นมนุษย์คนนั้นสำเร็จเป็นเทพ
สอบผ่านใบอนุญาติเป็นหมอผ่าตัด จึงสามารถทำได้ครับ
ทีนี้ หลายท่านอาจสงสัยว่างั้นเราทำงานไม่ได้เลยใช่ไหม?
ทำงานได้ครับแต่ไม่ใช่อาชีพ ทำงานศิลปะไงครับ แต่ถ้าทำงานเป็นอาชีพ เช่น
ทำเพื่อแลกเงินแบบนี้ไม่ได้ เป็นบาปครับ ไม่ว่าเรียนจบอะไรมาก็เอาไปหากินไม่ได้
๒ มนุษย์ทำอาชีพไม่ได้
แล้วใครทำได้?
พระเจ้าสร้างให้โลกนี้มีมนุษย์
แล้วให้เทวทูตหรือเทพลงมาดูแลมนุษย์ ผู้มีอาชีพต่างๆ คือ
หัวโขนของเทพที่จะใช้ในการดูแลมนุษย์ เช่น ตำรวจ, ทหาร, แพทย์, ครู ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนเป็นหัวโขนของเทพที่ใช้ดูแลมนุษย์ ดังนั้น มนุษย์ไม่ต้องทำงานในอาชีพใดๆ
ทั้งนั้นครับ เพราะจะมีเทพดูแลให้อยู่แล้ว ทั้งอาหารการกินก็มีเทพการครัวดูแลให้,
การใช้เงินก็มีเทพที่คอยอุปถัมภ์มนุษย์ดูแลให้เงินใช้ครับ
แต่ถามว่าแล้วทำไมเรายังลำบาก ไม่เห็นได้อย่างที่บอกเลย คำตอบคือ เพราะเรายังมีบาปกำเนิดอยู่
เรายังชำระบาปไม่หมด เมื่อใดที่เราชำระบาปหมดแล้ว เราก็จะได้รับการดูแลโดยเทพ
ทำให้เราได้รับสิ่งดีๆ คุณภาพชีวิตจะดี ไม่ลำบากยังไงละครับ
๓ มนุษย์ทำอาชีพไม่ได้
แล้วทำอะไรได้?
มนุษย์ทำได้ทุกอย่างที่เป็น
“ศิลปะ” เช่น การใส่หัวโขนแสดงบทบาทเป็นหมอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้จบหมอ ทำได้มั้ย
ทำได้ครับ เช่น กรณีที่เจอคนกำลังคลอดลูกบนรถเมล์พอดี คนที่อยู่ตรงนั้นเลยจำเป็นต้องสวมบทบาทเป็นหมอทำคลอดเสียอย่างนั้น
แบบนี้ก็ทำได้ครับ แต่ไม่ใช่การทำโดยอาชีพ มันเป็นแค่การสวมหัวโขน แสดงไปตามบทบาทเท่านั้น
ดังนั้น มนุษย์จึงทำได้ทุกอย่าง
เรียนรู้ได้ทุกอย่าง แต่ทำได้แค่ศิลปะเท่านั้นเอง เกินนี้จะไม่ใช่มนุษย์แล้วครับ
เกินนี้ต้องให้มนุสสเทโวทำแทน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐ
เราต้องการเสนอแนวคิด ทำไง? เราก็สร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อเสนอแนวคิดก็ได้
แต่ไม่ใช่ไปสั่งใช้ใครทำครับ
๔ ถ้ามนุษย์อยากมีอาชีพต้องทำอย่างไร?
การมีอาชีพและทำงานตามอาชีพนั้นจะส่งผลกระทบเกิดกรรมไม่น้อยครับ
ดังนั้น พระสมณโคดมจึงไม่สอนให้พระสาวกทำมาหาเลี้ยงชีพอะไร
พระต้องทำงานหาเลี้ยงชีพไหมครับ? ไม่ต้องใช่มั้ย นั่นละ เพราะเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
ทีนี้ ถ้ามนุษย์อยากมีอาชีพต้องทำอย่างไร? มนุษย์ก็ต้องมี “บารมีรับรองผลกรรม”
ครับ ถ้าตัวเองไม่มีบารมีพอรับรองผลกรรมนั้น ก็ต้องอาศัยบารมีผู้อื่นที่เรียกว่า
“เนื้อนาบุญ” คือ การทำบุญสนับสนุนเนื้อนาบุญไว้ เมื่อเราทำงานตามอาชีพ
มีกรรมสะสมมากๆ เข้าเราจะได้อาศัยบารมีของเขาในการฉุดช่วยตัวเองขึ้นมาจากบ่วงกรรมเหล่านั้น
ส่วนการทำงานศิลปะนี้ไม่จัดเป็นอาชีพ หากไม่ขายแลกเงินครับ
๕ แม้แต่ทำไร่ทำนา
ยังต้องทำบุญช่วยให้รอด
แม้แต่ชาวนาสมัยก่อน
ทำไร่ทำนา ไม่ได้ขายข้าวนะ ทำกินเอง อยู่แบบคนสมัยโบราณ หาปูหาปลากินไป
ก็ยังต้องทำบุญให้พระเพื่อเอาตัวรอดเลย เพราะการทำงานเป็นอาชีพเกษตรกรนั้น
หากไม่มีเนื้อนาบุญช่วยก็ไม่รอดเหมือนกัน นับประสาอะไรกับอาชีพอื่นๆ
ที่มีกรรมมากกว่านี้ละครับ ปัจจุบัน คนมากมายมีอาชีพอันหลากหลาย ทุกวงการจะต้องมี
“เนื้อนาบุญ” ไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอดครับ เช่น
บริษัทแต่ละบริษัทจะต้องมีผู้มีบุญบารมีมาเกิดเป็นเนื้อนาบุญให้ ไม่เช่นนั้น
ทุกคนที่มีอาชีพในบริษัทนั้นจะต้องกลายเป็นปีศาจกันหมดเลย เพราะว่า
“มนุษย์ทำอาชีพไม่ได้ มนุษย์ทำได้แค่งานศิลปะ” อาชีพไม่ใช่ของมนุษย์แต่เป็นของเทพครับ
ในอดีตมีสงครามพลีชีพเพื่อชาติบ่อยก็เพื่อปลดปล่อยพวกนี้ละครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น