นิพพานไม่ใช่ความหายสูญ
เรื่องนิพพานไม่สูญนี้ได้กล่าวไว้บ่อยแล้ว
แต่จะขอกลับมาอธิบายอีกครั้ง ไม่ว่าจะอธิบายเรื่องจักรวาลอะไรที่ไกลออกไป สุดท้าย
ผู้เขียนจะกลับมาสู่พื้นฐานคือสัจธรรม คือเรื่องของนิพพานบ่อยๆ
เพื่อไม่ให้ผู้อ่านไปไกลเกินจนหลุด หลงทางครับ ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเรื่อง
“นิพพานไม่ใช่ความหายสูญ” ดังต่อไปนี้
๑ คุณไม่อาจสูญหายไปได้
สสารและพลังงานไม่สูญหายไปไหน
มันเพียงแค่แปรเปลี่ยนสภาพไปเท่านั้น เฉกเช่น สังขารร่างกายนี้
มันก็ไม่ได้สูญหายแม้เราตายลง มันแค่แปรเปลี่ยนเป็นธาตุต่างๆ สลายลงกลายเป็นดิน,
น้ำ, ลม, ไฟ เท่านั้นเอง การตื่นแจ้งในนิพพานไม่ใช่การสูญหายของสิ่งใด แต่เป็นเรื่องของจิตที่ตื่นแจ้งในสัจธรรม
ในนิพพานว่าคืออะไรก็เท่านั้น สุดท้ายแล้ว สิ่งต่างๆ ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
มิใช่ว่าพอเราตื่นแจ้งในนิพพานแล้วโลกก็หายลับไปซะที่ไหนกัน โลกก็ยังเป็นเช่นนั้นของมันเอง
อนิจจัง อนัตตา เช่นนั้นเอง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็เพียงแค่จิตเรา
ที่เดิมยังไม่ตื่นแจ้งในนิพพาน กลายเป็นตื่นแจ้งในนิพพานก็เท่านั้น เราจึงไม่ได้สูญหายไปไหนเพราะนิพพาน
๒ อนัตตาไม่ใช่ว่างเปล่าหายสูญ
เราทุกคนมีลักษณะอนิจจัง
อนัตตา ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้
จะบอกว่าไม่มีเรา ก็ไม่ได้ จะบอกว่ามีเราเป็นตัวกูของกู
ก็ไม่ถูก อนัตตานั้นไม่ใช่ทั้งภาวะของนิรัตตาและอัตตา ดังนั้น อย่าไปหลงคิดว่าเราจะว่างเปล่าหายสูญไปเสียเฉยๆ
เช่นนั้น เพราะมันไม่จริง นั่นเป็นแค่มิจฉาทิฐิของลัทธินิรัตตาเท่านั้นเอง พุทธของเราไม่ได้มีคำสอนอย่างนั้น
ทว่า เราก็ไม่อาจยึดตัวเราของเราเป็นอัตตาได้เพราะเราก็ไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตาจะยึดห่าอะไรได้ละ
ถามว่าเมื่อไม่ว่างเปล่าหายสูญแล้วเราจะไปอยู่ไหน? โอ้ย เยอะแยะครับ
ในจักรวาลนี้มีโลกธาตุมากมายนับไม่ถ้วนได้ บางคนไปเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวอยู่บนดาวอันไกลโพ้นจากโลกนี้ก็มี
ไม่แปลกอะไร
๓ บรรลุนิพพานแล้วจะสิ้นวัฏสงสาร
ถามว่าหากบรรลุนิพพานแล้วจะสิ้นวัฏสงสาร
หมายความว่าอย่างไร?
อย่างแรกคุณต้องเข้าใจก่อนว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารหมายถึงอะไร?
มันหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดในสามภพของโลกนี้ครับ
ถ้าคุณไม่ลงมาเกิดในสามภพของโลกนี้ ก็คือ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร นั่นเอง
แต่คุณอาจอยู่เหนือกว่าโลกนี้ก็ได้ เช่น อยู่ที่พรหมโลกธาตุ, สุขาวดีโลกธาตุ ฯลฯ
แล้วไม่ต้องลงมาเกิดในโลกนี้ คำว่า “วัฏสงสาร” หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดในสามภพของโลกนี้เท่านั้น
ไม่ได้หมายรวมถึง
การเกิดในสุขาวดีโลกธาตุหรือพรหมโลกธาตุนะครับ
เมื่อคุณหลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้ว คุณก็อาจอยู่ที่สุขาวดีโลกธาตุหรือพรหมโลกธาตุ
ก็ได้
๔ การเลื่อนระดับสู่ระบบที่สูงกว่า
มันคือการวิวัฒนาการของจิตครับ
จิตจะวิวัฒนาการจากเดิมที่อยู่ในระบบต่ำๆ เช่น ระบบวัฏสงสาร
เมื่อจิตมีวิวัฒนาการสูงขึ้น ก็จะหลุดพ้นจากระบบเดิมๆ ไปสู่ระบบที่สูงกว่า
ระบบเหล่านี้มีระดับชั้นซ้อนทับกันไม่มีที่สิ้นสุด หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าในระบบใหญ่ก็มีระบบย่อยอยู่ ในระบบย่อยก็มีระบบที่ย่อยลงไปอีกเรื่อยๆ
ครับ ดังนั้น เมื่อเราหลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้ว
เราจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายในระบบสามภพของโลกนี้ แล้วเราจะเลื่อนระดับไปสู่ระบบที่ใหญ่กว่านั้นแทน
ไม่ใช่หายสูญไปไหนครับ การเลื่อนระดับสู่ระบบที่สูงกว่าจะเรียกว่า
“มิติที่สูงกว่า” ก็ได้ โลกใบนี้อยู่ในมิติที่สามแต่ระบบที่สูงกว่ามีมิติที่ห้าขึ้นไปครับ
๕ จิตประภัสสรมีระดับไม่เท่ากัน?
สรรพจิตทั้งหลายล้วนบริสุทธิ์เหมือนกัน
เรียกว่า “จิตประภัสสร” จิตไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ขันธ์ห้า
ไม่ใช่วิญญาณ จิตเป็นผู้รู้ วิญญาณไม่ใช่ผู้รู้ แต่เป็นขันธ์ห้าที่เข้ามาปรุงแต่งการรับรู้เท่านั้นเอง
เหมือนมีตัวละครสามตัว คือ จิตที่เป็นผู้รู้ รู้เฉยๆ ซื่อๆ ไม่ปรุงแต่งอะไร มี “รูป”
คือ สิ่งที่ถูกรู้ มี “วิญญาณ” คือ คนที่ชอบเข้ามาปรุงแต่งให้การรับรู้นั้นมีสีสันเหมือนคนช่างนินทา
แต่งเรื่องให้ดูมันส์ไปเรื่อยเปื่อย ทว่า แม้จะมีจิตประภัสสรเหมือนกัน แต่ก็มีระดับสูงต่ำไม่เท่ากันครับ
จิตพระเจ้าไม่เท่ากับจิตปุถุชน ปุถุชนจะเลื่อนระดับไปสู่จิตพระเจ้าหรือจิตจักรวาลได้จะต้องผ่านการ
“เลื่อนระดับ” (Ascension) ก่อน
ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็เป็นพระเจ้าหรือพุทธะแล้วครับ
จิตจะเลื่อนระดับไปสู่ระบบที่สูงกว่าและหลุดพ้นจากวัฏสงสารครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น