ฆราวาสผู้ทรงธรรมต่างจากพระอย่างไร?



เราทั้งหลายเป็นฆราวาส ไม่อาจปฏิบัติธรรมอย่างพระได้ ถ้าเราอยากปฏิบัติอย่างพระ ก็ต้องไปบวชก่อนครับ เพราะความเป็นอยู่ของฆราวาสและพระนั้นต่างกัน จะให้ปฏิบัติตนเหมือนกันก็ไม่ได้ เช่น ถ้าเราไม่กินข้าวเย็น แต่ครอบครัวเรากิน มันก็อาจเป็นปัญหาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมี “ธรรมภาคฆราวาส” เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ กิจในกลางพุทธกาลของพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาช่วยกันค้ำพุทธศาสนาให้ดำเนินต่อไป หลายท่านได้ลงมาสร้างธรรมภาคฆราวาส ผู้เขียนเองก็เช่นกัน ในบทความนี้จะขออธิบายความแตกต่างของการปฏิบัติในเพศฆราวาสกับพระสงฆ์ตามแนวทางของผู้เขียนเอง อันอาจแตกต่างจากท่านอื่นๆ ก็ได้ ดังต่อไปนี้ครับ

๑ เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่สมมุติเทพ
ในอดีต โลกปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ เราเกิดมาก็ถูกสังคมหล่อหลอมใส่หัวให้เชื่อว่ากษัตริย์เป็นสมมุติเทพแล้ว มนุษย์ถูกจับใส่หัวโขนเป็นสี่วรรณะ เราต่ำกว่ากษัตริย์ กว่าพระ จะต้อง “ก้มกราบ” การก้มกราบนี้ ไม่ใช่สัจธรรมอะไรนะ มันเป็นแค่กระพี้ ที่ทางโลกเขาทำไว้เพื่อให้คนในยุคอดีตอยู่ร่วมกันได้เท่านั้นเอง ทว่า ยุคนี้ เราต้องอยู่กับ “ปัจจุบันธรรม” ที่สมมุติทางโลกเปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์จะได้ตื่นรู้ว่าตัวเองคือใคร? เราคือมนุษย์ไม่ต่างกัน ดังนั้น ฆราวาสผู้ทรงธรรมจะไม่ทำตัวเป็นสมมุติเทพให้ใครมาก้มกราบอีกต่อไป นั่นเอง

๒ มีกติที่มนุษย์ไม่กระทำ เป็นศีล
ฆราวาสผู้ทรงธรรมจะไม่ถือศีลแบบพระด้วยไม่ใช่พระสงฆ์แต่จะใช้ “ความเป็นปกติของมนุษย์” เป็นเครื่อง สติแก่ตน กล่าวคือ ปกติแล้วมนุษย์เขาไม่ทำอะไรกัน เราก็จะไม่ทำเช่นนั้นด้วย เช่น มนุษย์ย่อมไม่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน เราก็จะไม่ทำด้วย ดังนั้น ศีลของฆราวาสผู้ทรงธรรมจึงเป็นความเป็นปกติของมนุษย์ นั่นเอง ไม่ต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งครัดอะไรเว่อร์ๆ ทำตัวปกติอย่างที่มนุษย์เขาเป็นกันก็พอแล้ว ไม่ใช่นั้น เราจะเป็นร่างของ “ปีศาจบำเพ็ญธรรม” แทน กล่าวคือ ปีศาจจะอยากได้ร่างของเราบำเพ็ญธรรมเพื่อความหลุดพ้น

อยู่อย่างผู้รับ มิใช่ผู้ขอ (ภิกษุ)
ภิกษุ แลว่า ผู้ขอ เพราะยังชีพอยู่ได้ด้วยการบิณฑบาตร ทว่า ฆราวาสผู้ทรงธรรมจะไปเดินบิณฑบาตรขอข้าวใครกินเช่นนั้นไม่ได้ เราจะต้องอยู่อย่าง “ผู้รับ” หมายความว่าอย่างไร? ผู้รับ เป็นการบำเพ็ญธรรมตามวิถีกวนอิม คำว่า “อิม” หมายถึงพลังหยิน พลังฝ่ายหญิง พลังแห่งการรับ ไม่ใช่การรุกหรือการให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปขออะไรจากใคร เรี่ยไรเงินจากชาวบ้านก็ไม่ได้นะครับ การอยู่อย่างผู้รับคือ เมื่อเขาต้องการให้เรา ก็ยอมรับจากเขาได้โดย “พิจารณาเป็นครั้งคราวไป” อะไรที่เกินกว่าเราจะรับก็ไม่อาจรับครับ

๔ มีกิเลสเป็นโพธิ ไม่ต้องตัดกิเลส
การปฏิบัติแบบพระนั้นหวังผลคือความหลุดพ้น สำเร็จเป็นพระอรหันต์แต่สำหรับฆราวาสผู้ทรงธรรมนั้น เราไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นพระอรหันต์อะไรเช่นนั้น เราจึงมีกิเลสได้ แต่เราจะเรียนรู้ที่จะใช้กิเลสให้เป็นโพธิต่างหาก เช่นนี้ เราก็ไม่ต้องตัดกิเลส ไม่ต้องทำตัวเป็นพระอรหันต์ที่ไม่มีกิเลสแต่อย่างใด เราทำตัวเป็นมนุษย์กตินี่ละ แต่เราไม่ถูกความเป็นปุถุชนทำให้ชุ่มโชกจนหลงโลกมากเกินไปอย่างนั้น ปุถุชนอยู่ใต้กิเลสเหมือนบัวใต้ตม แต่ฆราวาสผู้ทรงธรรมใช้กิเลสโคลนตม เหมือนดินที่หล่อเลี้ยงให้ดอกบัวเจริญเติบโตและเบ่งบานในที่สุด

๕ ไม่ต้องมีวัด ไม่ต้องสร้างสถานธรรม
อยู่ในครอบครัวปกติเหมือน “น้ำกลิ้งบนใบบัว” อยู่กับมนุษย์ทั่วไปได้ตามปกติ ไม่ต้องแบ่งแยกโลกธรรม แต่ก็ไม่ถูกโลกกลืนกิน จนลุ่มหลงโลกอยู่ในโลกแต่ไม่ติดโลกเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวฉะนั้น หลายคนหลงคิดว่าตนเองทำได้ ไม่ติดโลกแล้ว แท้จริงก็แค่หลงกิเลสและสิ่งล่อใจทางธรรม เช่น ลาภสักการะแทน มันคือความต้องการขั้นที่ห้าของมาสโลว์เท่านั้นเอง แบบนั้นยังไม่ใช่นะครับ ฆราวาสผู้ทรงธรรมนั้นจะไม่ต้องสร้างวัดอยู่ ไม่ต้องสร้างสถานธรรมด้วย แต่อยู่เหมือนคนทั่วไป อยู่ในครอบครัวตัวเองตามปกติแต่ก็ปฏิบัติธรรมได้ครับ

๖ ใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมก็ได้
ไม่ต้องเข้าวัด ห่มขาว นั่งสมาธิหลับตาเดินจงกลมอะไรทั้งนั้น การทำสมาธิที่มีรูปแบบนั้นเป็นของพราหมณ์เขา เรียกว่า “ลัทธิตันตระ” เมื่อแนวคิดของลัทธิตันตระเข้ามาผสมกับพุทธก็ก่อเกิดพุทธนิกาย “ตันตระยาน” ขึ้น นิกายนี้จะมีวิธีการทำสมาธิ ปฏิบัติจิตมากมาย ในขณะที่พุทธศาสนาดั้งเดิมแท้จะไม่มีรูปแบบให้ยึดถือ เช่น นิกายเซนแบบดั้งเดิมจะไม่มีการสอนวิธีทำสมาธิ เพราะเมื่อคุณ “ทำ” สมาธิ สมาธินั้นก็จะถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นและจะไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สมาธิแท้จริง ฆราวาสผู้ทรงธรรมจึงใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม

๗ อยู่ทางโลกเพื่อชำระกรรม ทำกิจให้จบ
การบวชพระต้องถือศีลมาก ทำให้เราไม่อาจทำอะไรได้มาก กิจที่คั่งค้างก็อาจยังไม่จบ อีกทั้งยังไม่อาจชำระกรรมได้หมดด้วยเพราะมีผ้าเหลืองคุ้มครองไว้ การอยู่แบบฆราวาสธรรมดาย่อมทำให้การชำระกรรมเป็นไปได้มากขึ้น ทั้งยังไม่ขัดขวางการทำกิจที่คั่งค้างให้จบอีกด้วย ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ทำงานกับเพื่อนที่มีตาทิพย์ เขาพบว่ามีพระมากมายที่ละสังขารแล้วไม่ได้หลุดพ้นจริงๆ ยังวนเวียนอยู่ในโลก เพื่อทำกิจปกป้องพุทธศาสนาอยู่ บางส่วนก็ถูกกวาดต้อนให้ไปทำสงครามพลังจิตในอีกมิติหนึ่ง นั่นเพราะกิจยังไม่จบ นั่นเอง

ทั้งเจ็ดข้อนี้คือ การปฏิบัติธรรมแบบฆราวาสที่ต่างจากพระครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?