นักปฏิบัติที่แท้จริง
การปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มต้นจาก “มหาสุญตา” คือ ว่างเปล่าแล้วจากธรรมะที่อธิบายได้ ที่กล่าวได้ทั้งมวล ที่เรียกว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” คือ ตื่นแจ้งแล้วว่าธรรมะนั้นเป็นอนัตตา มิใช่ตัวเรา ของเรา ดังนั้น จะไม่เอาธรรมะอะไรมาพูดพล่าม มาสอน มาสนทนา มาถกเถียงกับใครอีกแล้ว เหมือนที่ท่านตั๊กม้อถามลูกศิษย์แล้วมีศิษย์คนสุดท้าย ไม่พูดอะไร หุบปากเงียบเลย นี่แหละ คือ มหาสุญตา มันไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว หมดแล้ว มันตื่นแจ้งแล้วว่าธรรมะที่พูดได้เหล่านี้ มันไม่มีสาระอะไรจะไปเสียเวลาหลงวนกับมันเลย เอาละ ที่นี่ ที่สุดของปริยัตินะ ไม่ใช่ที่สุดแห่งธรรมทั้งหมด ต่อไปคือ “ปฏิบัติ” จริงแล้ว ตรงนี้แหละ เราจะเริ่มกลับมาปกติ เหมือนคนปกติ ไม่ใช่เป็นใบ้พูดอะไรไม่ได้ ไม่ใช่นะ แต่จะพูดคุยเหมือนคนธรรมดาๆ เลย กินข้าวยัง กินแล้วก็บอกว่ากินแล้ว ไม่มีเล่นลิ้นแบบนักปรัชญาว่า ไม่มีสิ่งใดให้กิน อะไรแบบนี้อีก ถ้ายังเล่นลิ้นแบบนักปรัชญาก็แสดงว่ายังมีความหลงวน บ้าปรัชญาอยู่ ยังต้องไปผ่านมหาสุญตาก่อน แล้วจะจบ เลิกบ้า เลิกทำตัวเป็นนักปรัชญาได้ แล้วจะกลับมาเป็นคนปกติ พูดปกติได้ จากนั้นเขาจะพูดอะไรกันในระดับ “ปฏิบัติ” เขาก็จะพูดกันว่าปฏิบัติแล้วเป็นยังไง? เห็นไหม พวกนักปฏิบัติคุยคนละภาษากับพวกนักปรัชญานะ นักปรัชญาไม่ปฏิบัติเอาแต่พล่ามปรัชญาธรรมะ จากตำราบ้าง จากความคิดเอาเองบ้าง จากการได้ยินได้ฟังมาบ้าง ฯลฯ ชัดเจนหรือยัง? แยกแยะได้หรือยัง? เอาให้ได้นะ ตรงนี้สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นจะวนอยู่กับการเป็นนักปรัชญา ไม่พ้นปริยัติ การปฏิบัติก็จะไม่มีเลย นักปฏิบัติเขาจะไม่สนใจธรรมะอะไรที่อธิบายได้ ที่ได้ยินได้ฟังมาจากไหน ที่คิดเอาเองหรูๆ แบบนักปรัชญา ไม่มีนะ นักปฏิบัติเขาพูดกันธรรมดาๆ มาก เหมือนคนปกตินี่ละ ทีนี้ไอ้การปฏิบัตินี่มันก็ไม่มีรูปแบบ ไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัวอีกเช่นกัน ดังนั้น มีก็เหมือนไม่มี ปฏิบัติก็เหมือนไม่ปฏิบัติ ทำตัวปกติกันนี่ละ เช่น บางท่านบอกว่าผมนั่งสมาธิแล้วเห็นข้างในตัวเป็นเพชร อีกท่านก็อาจบอกว่า เอ้อ สักแต่ว่าเห็นเช่นนั้นเองแหละ แค่นี้ก็จบไป ไม่มีอะไรในอะไร ไม่มีอะไรในกอไผ่ ฮ่าๆๆ เขาก็คุยกันธรรมดาแบบนี้ ไม่มีการยอกย้อน ชวนเวียนหัวแบบพวกนักปรัชญาที่ร่านอยากเอาชนะคนอื่น กลัวเถียงแพ้เขา เลยพูดจายอกย้อนวกวนเรื่อย อันนี้ไม่ใช่ นักปฏิบัติไม่มีแบบนั้น คุยกันธรรมดา มีธรรมะก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมีนี่ละ แต่เขาจะรู้กันเองว่าปฏิบัติได้ขั้นไหนแล้ว ไม่ต้องถกเถียงกันให้มากความ พูดนิดเดียวก็เข้าใจกันได้แล้ว ต่างจากพวกนักปรัชญาที่คุยกันเท่าไรก็ไม่เคยเข้าใจกันได้ วันก็แล้ว สองวันก็แล้ว ไม่ว่าจะกี่วันๆ มันก็เถียงเอาชนะกันอยู่นั่น ไม่มีจบสิ้น เพราะไม่ปล่อยวางธรรมะ
นักปฏิบัติที่แท้จริงนั้นเขาจะมุ่งไปปฏิเวธ
คือ การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงให้ได้ ถ้าประยุกต์ใช้จริงไม่ได้
มันก็แค่ปัญญาของเก๊ เคยเห็นไหม? ไอ้พวกเอะอะอะไรก็พูดแต่ว่า ปล่อยวางๆ
อะไรก็ไม่ใช่ ไม่มีตัวตนทั้งนั้น นิพพานอยู่แล้ว ฯลฯ มันก็บ้าพล่ามแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่ไอ้ห่า สิ่งที่มันพูดเอาไปประยุกต์ใช้อะไรจริงไม่ได้เลย นั่นเขาเรียกว่าปริยัติ
มันไม่ใช่ปฏิเวธ ถ้ามันเป็นปัญญาของจริง มันต้องประยุกต์ใช้ได้จริง เขาเลยเรียกว่าปฏิเวธไงละ
เช่น พระจี้กงเห็นคนกำลังแขวนคอตาย แทนที่ท่านจะเทศน์ธรรมะให้ปลงตก
เหมือนอย่างพวกบ้าปรัชญาทำกัน ไม่ใช่ ท่านทำอย่างไรครับ?
ท่านก็เข้าไปขอเสื้อผ้าบ้าง, เงินบ้าง สุดท้ายขอเชือกที่ใช้แขวนคอ
คนที่จะแขวนคอตายก็ไม่เหลืออะไรอีก แม้แต่เชือกที่จะแขวนคอตาย ก็ทำไม่สำเร็จ
เห็นไหม เขาต้องพูดพล่ามธรรมะกันหรือเปล่า? ไม่ต้องเลย เขาพูดธรรมดาๆ นี่แหละ
ไม่มีการเทศน์ธรรมะแม้แต่แอะเดียว เข้าไปขอเอาดื้อๆ เลย ยังกะคนธรรมดาๆ นี่เลย
แต่ผลคือ ช่วยเหลือคนได้จริง อ้าวทำไมละ? ก็เพราะว่านี่คือปัญญาจริงๆ ไง
มันเลยใช้ได้ผลจริง ประยุกต์ได้จริง ถ้าให้พวกบ้าปรัชญาไปจะเป็นยังไง?
ก็จะบ้าพล่ามปรัชญา เทศน์ธรรมะให้คนๆ นั้นฟัง แล้วก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ สุดท้าย
เขาก็คงแขวนคอตายหนีธรรมะที่มันพล่ามเทศน์น่ะละ ฮ่าๆๆ ไอ้การแสดงธรรมนี่นะ
เขาเรียกว่า “แสดง” คือ กูแสดงให้ดูไปยังงั้นละ เหมือนมาดูลิเกไปเท่านั้นเอง
อย่าไปหลงอะไรกับมันมาก สัพเพ ธัมมา อนัตตา บางพวกหลงมาก เอาไปพล่ามต่อ
บ้าปรัชญากันไปเลย สุดท้ายต้องส่งไปล้างสมองกันด้วยปรัชญาปารามิตสูตร คือ มหาสุญตา
ว่างเปล่าหมดน่ะละ ถ้ายังล้างไม่หมด ยังฉลาด ยังเหลือธรรมะอยู่ ยังไม่เอ๋อ
ยังไม่โง่แดก ก็ยังใช้ไม่ได้นะ เข้าใจไหม แสดงธรรมเลยแสดงๆ ไปงั้นเอง
อย่าไปหลงอะไรมาก หลงในทางโลกก็มากอยู่แล้ว มาทางธรรมก็มาหลงกันต่ออีก ทีนี้
เห็นภาพชัดหรือยัง ระหว่างไอ้พวกบ้าปรัชญาที่บ้าพล่ามธรรมะแข่งกันไปวันๆ
กับนักปฏิบัติ และคนที่มีปัญญาขั้นปฏิเวธแล้ว? สามแบบนี้ไม่เหมือนกันนะ
แบบแรกมันออกมาแบบพวกบ้าธรรมะ บ้าปรัชญาอย่างที่เห็นกันบ่อยๆ น่ะละ
ไม่ได้เรื่องสักคนนะ พวกนี้ต่อให้เก่งธรรมะแค่ไหน? เถียงเอาชนะใครได้มากเท่าใด?
หรือไม่แพ้ใครเลยก็ตาม ไม่ได้เรื่องสักคนนะ ถ้าว่างเปล่าเมื่อไร
เป็นสุญตาได้เมื่อไร เออ อันนี้นับว่าได้เรื่องหน่อย
ถ้ายังไม่โง่แดกก็ยังไม่ได้เรื่อง ส่วนนักปฏิบัตินั้นเขาก็จะคุยกันธรรมดาๆ
ไม่คุยเรื่องนอกตัว คุยเรื่องจิตที่ตนปฏิบัติอยู่นี่แหละ ปรับแก้กันไป
แต่ไม่มีรูปแบบการปฏิบัติ จนเมื่อสำเร็จขั้นนักปฏิเวธ มีปัญญาแท้จริงได้เมื่อไร
แม้แต่เรื่องการเมือง ปัญหาทางโลก บางท่านก็ยังใช้ปัญญาแก้ให้ได้เลย
เพราะเป็นปัญญาจริงๆ ของจริง ไม่ใช่ของเก๊ เขาเลยเอาไปใช้ได้ผลจริง ประยุกต์ใช้ได้จริงอย่างไรละ
ถ้าไม่มีปัญญาจริง เป็นของเก๊ เป็นแค่ธรรมะอ่านฟังมาแบบนักปรัชญา
จะแก้ปัญหาให้ได้ใครจริงได้ยังไง? ใช่มั้ย
การแก้ปัญหาด้วยปัญญานี้
ไม่ใช่เสกปิ๊งๆ หรือใช้เงินแจกใครนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น