สมบัติแท้ของโลกคือทุกข์?
“โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้จริง
มันถูกสร้างมาเพื่อชำระล้าง” หากใครได้สิ่งดีมากๆ ก็จะถูกหลอกมาก
ใครได้สิ่งไม่ดีมากๆ ก็จะใกล้พบความจริง หลุดพ้นเร็ว ดังนั้น จึงกล่าวว่า
“สมบัติที่แท้จริงในโลกคือความทุกข์” ในขณะที่สมบัติอื่นๆ
และความสุขนั้นกลับไม่ใช่สมบัติที่แท้จริง ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้
๑ ภาวะ
“ตรงข้าม” ของโลก
หากโลกคือบ้านที่แท้จริง
ไม่ได้สร้างมาเพื่อการชำระล้าง สิ่งที่ดีทางโลกจะเป็นสิ่งที่ดีทางธรรม
สิ่งที่ไม่ดีทางโลกก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีทางธรรมด้วย ทว่า เพราะไม่ใช่เช่นนั้น
“ทุกอย่างเลยพลิกกลับตรงข้าม” สิ่งที่ดีทางโลกกลับไม่ดีทางธรรม และสิ่งที่ไม่ดีทางโลกกลับดีทางธรรม
ดังนั้น “ทุกข์จึงกลายเป็นของดี”
และเป็นสมบัติดังเหตุผลข้างต้น คนได้รับทุกข์มากมีโอกาสได้หลุดพ้นมาก
เหมือนคนมีสมบัติมาก ย่อมมีโอกาสมากกว่าคนที่ไม่มี ในขณะที่คนที่มีสุขมาก,
มีสมบัติทางโลกมาก กลับกลายเป็น “ขาดโอกาสที่จะหลุดพ้น” หรือห่างไกลความหลุดพ้นไปเรื่อยๆ
คนรวยทางโลกคือยากจนทางธรรม คนจนทางโลกกลับมีโอกาสร่ำรวยทางธรรม?
๒ สมบัติ,
กำไร, ความร่ำรวย
สามสิ่งนี้ท่านควรรู้จักให้แท้จริง
ดังที่กล่าวแล้วว่าทุกข์คือสมบัติของโลก ต่อไปคือ “การตื่นแจ้ง” คือ
กำไรที่แท้จริง เพราะบุคคลที่ตื่นแจ้งแล้วย่อมจะมีกำไร
แต่คนที่ยังไม่ตื่นแจ้งจะไม่มีโอกาสได้กำไรชีวิตเลย เมื่อไม่มีกำไรชีวิต
ย่อมขาดทุนหรือเกิดมาเสียชาติเกิดนั่นเอง ส่วนความร่ำรวยนั้นจะมาจาก “ส่วนเพิ่ม”
ที่ได้หลังตื่นแจ้งโลกแล้ว เช่น หลังตื่นแจ้งโลกแล้วได้โปรดสัตว์มากมาย
มากเท่าไรก็ร่ำรวยมากไปเท่านั้น นี่ท่านควรเข้าใจสิ่งนี้ให้ดี หาไม่แล้ว
“ท่านจะถูกมายาการของโลกหลอกลวง” ทำให้ต้องเสียเวลาในชีวิตไปมากมายที่จะต้อง
“ชิงดีชิงเด่น, แก่งแย่งกันในทางโลก” แล้วสุดท้าย
ท่านกลับพบแต่ความว่างเปล่าและตายไปในที่สุด
๓ เปลี่ยนของปลอมให้เป็นของจริง
เมื่อท่านอยู่ในโลกควรทราบว่า
“คนเราทุกคนล้วนถูกทำให้เป็นตัวปลอม” ดังเช่น หนอนที่ยังไม่ใช่ผีเสื้อ
เราจะต้องผ่านการกำเนิดใหม่เพื่อเป็นตัวจริงหรือผีเสื้อนั่นเอง สมบัติต่างๆ
ในโลกที่ท่านได้รับ “ล้วนเป็นมายาจอมปลอม” ท่านจะต้องเปลี่ยนให้มันกลายเป็นของจริง
สมบัติที่แท้จริงให้ได้ก่อน เช่น นางวิสาขา
ร่ำรวยแล้วก็เอาสมบัติมาสนับสนุนพุทธศาสนา เช่นนี้เป็นต้น
กล่าวเช่นนี้เหมือนหลอกเอาเงินท่าน แท้จริงแล้วมิใช่
เพราะผู้เขียนไม่ได้รับผลประโยชน์ตรงนั้นและไม่ได้ต้องการด้วย
ส่วนผู้รับเองมีบุญจะรับหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่ผู้ใดเปลี่ยนสมบัติทางโลกเป็นสมบัติทางธรรมได้
“เขาผู้นั้นแหละ จะได้รับผลนั้นเอง” จริงไหมละครับ?
๔ เปลี่ยนตัวปลอมให้เป็นตัวจริง
นั่นคือ
“การกำเนิดใหม่” เราจะต้องผ่านความตายทางจิตวิญญาณเพื่อกำเนิดใหม่ให้ได้
เมื่อนั้นเราก็จะเป็น “ตัวจริง” คือ ผีเสื้อที่ไม่ใช่หนอนอีกต่อไป โลกนี้หล่อหลอมและสั่งสอนเรามาตั้งแต่เราเกิดโดยที่คนที่สอนเราเหล่านั้น
“ยังไม่ได้ตรัสรู้แจ้งจริง” สิ่งเหล่านี้สร้าง “ตัวปลอม” ให้เรา
ทำให้เรามีตัวปลอมที่ดีงามตามแบบเขา ตามที่สังคมต้องการให้เราเป็น
โดยที่เรายังไม่เคยค้นหาตัวตนแท้จริงของเรา ที่เป็นอนัตตา ที่ไม่ใช่อัตตาเลย ใครก็ตามที่ถูกโลก
“สร้างให้เป็น” สิ่งใดอยู่ ท่านจงรู้ไว้เถิดว่านั่นคือ “ตัวตนปลอม”
หรือหัวโขนให้เราแสดงไปในโลกนี้ โลกคือละคร แต่ละคนคือตัวละครที่ได้บทบาทต่างกันไป
กระนั้น เราก็ต้องทำให้เราเป็นตัวจริง!
๕ ค้นหาตัวตนที่แท้จริงกันเถิด
ในมิติที่ห้าท่านจะได้พบกับ “ตัวตนหลากหลายมิติ”
เพราะท่านจะเข้าสู่ภาวะอนัตตาได้ และนั่นจะพาท่านไปสู่ตัวตนที่แท้จริง ดังนั้น
หลายคนในโลกมักถูกทำให้อยู่ในภาวะที่ต้องสวมหัวโขนหลายๆ ใบ
นั่นก็คือการทำให้ท่านเข้าสู่ภาวะตัวตนหลากหลายมิติให้ได้นั่นเอง มนุษย์อยู่ในโลกเหมือนตัวละครที่สวมหัวโขนแสดงบทบาทต่างๆ
กันไป มันไม่มีความถูกผิด, ดีชั่ว เพราะมันเป็นแค่ “ศิลปะ” เท่านั้นเอง เพียงแต่
“ใจ” ของเราทำสิ่งต่างๆ อย่างไร?
หากทำด้วยใจที่คิดหลอกลวงผู้คนก็จะกลายเป็นคนลวงโลก
แต่ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่คิดหลอกลวงใคร มันก็จะกลายเป็นศิลปะ
และหากเรามีความเป็นศิลปิน เราก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
เมื่อนั้นเราจะไม่ถูกหัวโขนกลืนกินจนไม่เหลือตัวตนที่แท้จริง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น