คนมีบุญปัจจุบันเป็นแบบไหน?
“คนมีบุญมาเกิด”
ในอดีตเขาอาจดูที่ลักษณะร่างกายอะไรแบบนั้น แต่ในปัจจุบันไม่ใช่ครับ
เปลือกนอกนั้นก็แค่มายาการ เป็นของชั่วคราว คนมีบุญจริงๆ ในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
อันนี้เราควรเข้าใจให้ตรงไว้ เพราะจะได้ไม่ถูกใครหลอกลวงเอา
แล้วหลงทางเดินตามคนผิดครับ ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้
๑ เป็นคนไม่มีหนี้
คนมีบุญจริงยุคนี้ต้อง
“ไม่มีหนี้” ครับ อันนี้เรื่องจริงนะ คุณรู้ไหม ธุรกิจใหญ่ ร่ำรวยมหาศาลแต่หยุดทำงานไม่ได้เพราะอะไร?
เพราะดอกเบี้ยมันไล่จี้ตูดไงครับ หยุดไม่ได้ เถ้าแก่บางคนทำงานยังกะวัวกะควาย
เพราะมีหนี้เยอะ ดอกเบี้ยมันสูงเอาๆ ทุกวัน ดอกเบี้ยนี่ไม่หยุดครับ
แต่คนเราหยุดได้ กำไรก็หายได้ ขาดทุนกันได้ มีแต่ดอกเบี้ย วิ่งเอาๆ ไปข้างหน้าลูกเดียว
ฮ่าๆๆ จริงอยู่ที่ว่า “คนมีหนี้คือคนมีเครดิต” คนเขาเชื่อถือเลยให้กู้ยืมได้ ทว่า
“ไม่มีหนี้ย่อมดีกว่า” หรือจะให้ดีกว่านั้นก็ “เป็นเจ้าหนี้เขาแทน” ครับ
ผู้เขียนทุกวันนี้ไม่มีรายได้ แต่มีเงินก้อนเล็กๆ ให้แม่ยืม
ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ของแม่ ผู้เขียนนั้น ไม่มีหนี้แล้ว ส่วนตัวก็ใช้หนี้หมดแล้วครับ
๒ เป็นคนมีอิสระ
คนมีบุญแท้ต้องมีอิสระสิ
ถ้าไม่มีอิสระ ทำงานก็ต้องให้คนอื่นมาสั่งใช้ แบบนี้มีบุญไหม? ไม่มี
ไม่ใช่ดูแค่ว่ามีเงินเยอะไหม? รายได้สูงไหม? แต่ไม่มีอิสระเลย
แบบนั้นไม่เรียกว่ามีบุญ คนมีบุญเช่น พระที่เดินธุดงค์อิสระ
จะไปไหนก็ได้ตามแต่ใจต้องการ
สองเท้าก็ก้าวไปอย่างอิสระในโลกนี้อย่างนี้ต่างหากเรียกว่าคนมีบุญ
ไม่ใช่คนที่ถือครองวัตถุมาก
แบบที่ถือครองวัตถุมากนั้นตายไปเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์เยอะ มีร่างเป็นงูนะ
ถามว่านี่เรียกว่ามีบุญไหม ตอบได้เลยว่า “ไม่เรียกว่ามี” มีบุญจริงก็ต้องได้เป็นเทวดาอยู่สวรรค์
สบายไปแล้วสิ ฮ่าๆๆ คนมีอิสระนี่ต้องมีอิสระจาก “ตัวเอง” ด้วยนะ
บางคนถูกความคิดตัวเองครอบงำ ไม่ได้มีอิสระจากความคิด
๓ เป็นคนมีเวลาชีวิตเยอะ
ไม่ใช่ไปเอาเวลาที่จ้างลูกจ้างมาคิดว่าเป็นเวลาของเรานะ
นั่นมันเวลา “ธุรกิจ” ธุรกิจมันดูดเวลาชีวิตเราได้
เวลาของธุรกิจไม่ใช่เวลาของชีวิตเรานะ เถ้าแก่บางคนหลงผิด
คิดว่าตัวเองมีเวลาชีวิตเยอะ เพราะไปเอาเวลาของลูกจ้างมาคิดว่าเป็นเวลาของตัวเอง
ไม่ใช่ครับ ตัวเองก็ไม่มีเวลาของตัวเอง เพราะสังเวยไปให้กับ “ธุรกิจ” หมดแล้วก็มี
แบบนี้ไม่เรียกว่า “มีเวลาของตัวเอง” เคยเห็นคนบางคนไหม ถามทีไรจะตอบว่า “ไม่ว่าง”
เสมอ นี่ละ เวลาชีวิตไม่เหลือเป็นของตัวเอง ดังนั้น คนมีบุญในปัจจุบัน
จะต้องมีเวลาชีวิตเยอะ ว่างพอที่จะทำอะไรต่อมิอะไรได้ครับ
ถ้าไม่เหลือเวลาในชีวิตเลย ไม่ว่างเลย อันนี้ไม่เรียกว่ามีบุญ หมดบุญฮะ
๔ เป็นคนอิ่มทิพย์ไม่หิวกระหาย
อันนี้มีบุญของจริงเลย
คนบางคนคิดว่า “การอิ่มทิพย์เป็นเรื่องของเทวดา” ไม่จริงหรอก
คนเรามีบุญมากก็อิ่มทิพย์ได้ วันๆ แทบไม่ได้กินอะไรแต่ไม่หิว มันอิ่มทิพย์ อิ่มฌาน
ใครทำฌานสมาธิได้ อิ่มทิพย์กันทุกคนละ อันนี้ของจริง พิสูจน์ได้เลย
ฤษีหลายตนทำฌานได้ อิ่มทิพย์ถ้วนหน้า เห็นเขาดูไม่มีอะไร ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้
อย่าไปดูถูกว่าเขาจนละ ฤษีนี่ตัวร่ำรวยเลย เพราะอิ่มทิพย์มาก มีฌานมาก
ไม่มีความหิวกระหายอยากได้ในสิ่งทางโลกเหมือนปุถุชนทั่วไป คนทางโลกนั้น
“หิวกระหายอย่างกับเปรต” นี่ไม่เรียกว่ามีบุญ ต่อให้มีของมากมายในมือ เงินเอย,
บ้านเอย, รถเอย ฯลฯ เยอะแยะ แต่ดับ “หิวกระหายไม่ได้” มันก็คือ เปรตหมดบุญ
๕ เป็นคนมีเหลือ
ให้ได้ทั่วไป
คนมีบุญจริงต้อง “มีเหลือ”
สามารถแบ่งปันให้ใครได้มากมาย แล้วแต่จะให้หรือไม่ให้ แถมไม่ใช่ให้ธรรมดา
บางคนให้ได้มากกว่าคนทั่วไป เช่น ให้ของทิพย์วิเศษกันเลย อันนี้เขามีบุญมาก
คนอื่นไม่มีบุญอย่างเขาที่จะให้ได้ คนเราต่อให้ถือครองวัตถุสิ่งของมากแค่ไหน
แต่ถ้ายัง “ขาด” ยังไม่ “มีเหลือ” ก็ไม่เรียกว่ามีบุญครับ
คนมีบุญจริงต้องไม่ขาดแคลน ต้องมีเหลือใช้ แต่เขาจะเบิกบุญออกมาให้เราเห็นว่าเหลือกินเหลือใช้ทำไม?
เอามาโชว์? เอามากินทิ้งกินขว้างหรือ? ก็ไม่ถูกใช่ไหม?
บางคนเขาไม่ได้เบิกบุญออกมาโชว์ แต่เขาเหลือกินเหลือใช้ เก็บไว้ในอีกมิติเป็น
“กระตั๊กๆ” ก็มี เขาอาจทำตัวให้ดูจนๆ เอาไว้ลองใจคนที่ศรัทธาเขาจริงก็ได้ครับ
คนมีบุญยุคนี้ไม่ใช่คนรวย
ส่วนคนรวยคือคนหมดบุญแล้วครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น