ปฏิบัติแบบน้ำกลิ้งบนใบบัวเป็นอย่างไร?




“น้ำกลิ้งบนใบบัว” คืออยู่กับทางโลกแต่ไม่ติดทางโลก หลายท่านมักจะพูดกันเกร่อ แต่ทำจริงได้ยาก เพราะพูดง่ายแต่ทำยากครับ ในบทความนี้จะขอนำมายกตัวอย่างสัก ๕ ข้อให้ดูว่าแบบไหนที่เรียกว่าน้ำกลิ้งบนใบบัวจริงๆ และทำไมบอกว่าปฏิบัติจริงยาก? หลายคนดีแต่พูดอวดโชว์แต่ทำไม่ได้จริง ดังจะอธิบายต่อไปนี้

ทำงานแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว
คือ “การทำงานโดยอิสระไร้เงื่อนไข” ไม่ใช่เพราะถูกจ้างให้ทำ ไม่ใช่เพราะต้องการได้เงิน ได้ความร่ำรวย แต่ทำไปอย่างอิสระจากเงื่อนไขต่างๆ ไม่หวังเด่นดัง, ไม่หวังมีชื่อเสียง, ไม่ใช่ทำเพื่ออวดใคร คนส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้นะครับ บางคนทำงานจิตอาสา แต่ชอบเอารูปที่ตนทำงานมาโพสลงเฟสเพื่อให้ตัวเองเด่นดัง สร้างข่าวให้คนไม่ลืมหรือให้คนชอบไปเรื่อยๆ ก็มี อันนี้ยังไม่ใช่การทำงานแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว การทำงานแบบทางโลกนั้น “ทำแล้วติด” ไม่หลุดพ้นเพราะไม่ใช่การทำงานแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว ยิ่งการทำงานในระบบจ้างงานก็ดี, ระบบที่ลงทุนเอง ก็ดี เหล่านี้ทำให้เกิดกรรมสะสมมาก และไม่ใช่สัมมาอาชีวะที่ทำให้หลุดพ้นได้เลย

มีตำแหน่งแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว
การมีตำแหน่งและอำนาจต่างๆ นั้นเป็น “เครื่องร้อยรัด” ทำให้คนจมลงสู่วังวนกรรมได้อย่างมากทีเดียว นั่นคือมูลเหตุที่ “พระเตมีย์แกล้งใบ้” เพราะทรงหยั่งรู้อดีตชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นกษัตริย์แล้วต้องตกนรก เพราะการมีตำแหน่งและอำนาจนั้น ทุกอย่างที่เราสั่งการล้วนเป็นกรรมที่เราต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น และไม่ใช่กรรมน้อยๆ เพราะหลายตำแหน่งมีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก เช่นนี้ทำอย่างไร? ทางโลกก็ไม่มีใครรับตำแหน่ง ไม่มีใครมีอำนาจหรือสั่งการได้เลยหรือ? ได้ครับ เขาจะให้เรา “รับการชำระบาป” เพื่อให้เราชดใช้กรรมครับ ไม่ต้องรอชาติหน้าหรืออีกแบบคือ “ไม่ได้อยากได้แต่ถูกให้” เช่น พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่อยากเป็น แต่เขายกให้

๓ มีครอบครัวแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว
การครองคู่หรือมีคู่นั้น มิใช่ “การซื้อของ” ที่เราจะไปเลือกสิ่งที่เราชอบแล้วจ่ายเงินให้ได้มา คนเรานั้นมีค่ามากกว่าสิ่งของ การที่เราได้ครองคู่กับใคร เราจะต้อง “จ่ายบุญ” มาก เพราะคนมีค่ามากกว่าของ ดังนั้น การที่เราไม่ได้ต้องการครองคู่กับใครแต่เราถูกผู้ใหญ่จับให้แต่งงาน ก็คือ “การชำระบาป” ของเราได้ หากเราแต่งงานโดยเลือกเอง เพราะอยากได้เอง การแต่งงานของเราจะไม่ใช่การชำระบาป แต่เป็นการทำกรรมเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่น้ำกลิ้งบนใบบัว ฆราวาสเกือบทั้งหมดมีคู่ครองแบบไม่หลุดพ้น ทว่า ยิ่งมียิ่งติด, ยิ่งมียิ่งหลง, ยิ่งเกิดกรรม การมีคู่ครองแบบน้ำกลิ้งบนใบบัวนั้น เป็นธรรมอันปฏิบัติได้ยากยิ่งนัก

๔ มีรายได้แบบน้ำกลิ้งบนใบบัว
การมีรายได้หรือ “ได้เงิน” นั้นเป็น “บุญที่เกินกว่ามนุษย์โลกนี้จะรับได้” เงินเป็นสิ่งที่มนุษย์ในมิติสูงจะใช้ได้ แต่มนุษย์ในโลกเราอยู่ในมิติต่ำคือมิติที่สาม ในมิติที่สามนั้น “ห้ามใช้เงิน” ครับ ต้องอยู่แบบพระ ธรรมวินัยที่ว่า “ห้ามรับเงิน” เพราะไม่มีบารมีธรรมพอจะรับเงิน, มีรายได้ หรือใช้เงินได้ คุณต้องเข้าใจนะว่า “ของใช้” ทุกอย่างมีผลกระทบต่อโลก เช่น ปืน เอาไปยิงคนตายได้ใช่ไหม? ดังนั้น “ของใช้ทุกอย่างจะต้องมีจริยธรรมกำกับในการใช้” เช่น การใช้รถใช้ถนนอย่างมีจริยธรรม เงินก็ต้องมีจริยธรรมในการใช้ บางคนไม่มีเลย จ่ายสารพัด สร้างขยะ สร้างมลพิษมากมาย กรรมเยอะไหมคิดดู? การมีรายได้แบบน้ำกลิ้งบนใบบัวไม่ใช่เช่นนี้

๕ มีการบริโภคแบบน้ำกลิ้งบนใบบัว
“ทุกการบริโภคล้วนเกิดกรรมกระทบโลก” เช่น กินข้าวเสร็จต้องล้างจาน ต้องใช้น้ำยาล้างจาน เทลงดินแล้วน้ำยานั้นแหละ ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ การบริโภคแบบน้ำกลิ้งบนใบบัวย่อมทำได้ยากเพราะเหตุนี้ แต่มิใช่ว่าจะต้องไม่ให้มีกรรม ไม่แปดเปื้อนกรรมเลยนะ อย่างนั้นก็สุดโต่งไป การบริโภคแบบน้ำกลิ้งบนใบบัวเช่น เราไม่ได้อยากกินเลย เขาให้เราไปกินเราก็เกรงใจต้องไป พอเห็นของเต็มโต๊ะจะเกิดขยะ เราเลยต้องกินเพื่อกำจัดขยะพวกนี้ กินเข้าไปก็คิดว่ากำจัดขยะให้โลกไม่ใช่ว่าอยากกิน ไอ้จิตแบบนี้ จะมีกันกี่คน? บอกได้เลย “แทบหาไม่เจอ” ทำจิตให้ได้แบบนี้ “ไม่ใช่ไปคิด ไปอุปทานว่าเราเป็นแบบนี้นะ” ยากไหมละ?

“น้ำกลิ้งบนใบบัว” ย่อมพูดง่ายแต่ทำยาก ดังตัวอย่างข้างบนครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?