นิพพานแล้วเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก?
ในบทความก่อนๆ ได้อธิบายเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว
แต่หลายท่านก็ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ยังคงใช้ความเข้าใจเดิมๆ มาโยงธรรมะมั่วไปหมด ในไตรปิฏกอธิบายชัดเจนว่านิพพานจะบอกว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่
ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ลองไปอ่านดูครับ ทว่า หลายคนยังเข้าใจไม่ตรงจนถกเถียงกันขึ้น
ในบทความนี้จะขออธิบายในหัวข้อนี้ ต่อไปนี้
๑ สมมุติกับวิมุติธรรม
อย่างแรกให้ปรับความเห็นให้ตรงว่าวิมุติธรรมกับสมมุติธรรมนั้น
“อธิบายได้ต่างกัน” ในภาคสมมุติธรรมนั้น
เราจะอธิบายลักษณะว่ามีการเกิดดับไปเป็นธรรมดาส่วนในภาควิมุติธรรมนั้น
“เราจะไม่เอาเรื่องการเกิดดับมาปน” เช่น เราจะไม่เอาสัจธรรมแท้มาพูดว่าเดี๋ยวเกิด
เดี๋ยวดับ เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่ เก็จนะครับ ต่อไป เราก็ปรับทิฐิให้ตรงอีกทีว่า
“นิพพานไม่ใช่สมมุติธรรม แต่เป็นวิมุติธรรม” ดังนี้
อย่าเอาเรื่องการเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกมาอธิบายนิพพานเช่น
บางคนไปบอกว่านิพพานคือไม่เกิดอีกแล้วก็ไม่ใช่นะ ในไตรปิฏกบอกไว้ชัดเจนว่า
“นิพพานจะบอกว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่, ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่” เพราะเป็นธรรมคนละส่วนกัน
สมมุติธรรมกับวิมุติธรรม
๒ แยกแยะเรื่องจิตกับนิพพาน
ขั้นที่สอง
ให้ปรับทิฐิให้ตรงเรื่องจิตกับนิพพาน ใน “ปรมัตถธรรม ๔” ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป,
นิพพาน สี่ธรรมนี้เป็นธรรมคนละข้อกันให้ปรับทิฐิให้ตรงว่าจิตไม่ใช่นิพพาน
นิพพานไม่ใช่จิต ให้ทำความเข้าใจนิพพานและจิตว่า นิพพานเป็น “วิมุติธรรม”
ส่วนจิตนั้นเป็น “สมมุติธรรม” จิตย่อมมีการเกิดดับได้ จิตนั้นจะมีการจุติได้
เรียกว่า “จุติจิต” มีการปฏิสนธิใหม่ได้เรียกว่า “ปฏิสนธิจิต” อันนี้เรื่องของจิต
ไม่ใช่เรื่องของนิพพาน อย่าเอามาปนกันละ เรื่องนิพพานนั้น มีเช่น “ขันธปรินิพพาน”
อันนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของขันธ์ เรื่องของขันธ์ก็อีกเรื่อง
อย่าเอาขันธ์มาเป็นจิตละ พระสมณโคดมท่านแยกแยะให้เราดีแล้ว
ถ้าผสมกันผิดจะมั่วเป็นมิจฉาทิฐิได้ครับ
๓ เรื่องนิพพาน
ก็เรื่องหนึ่ง
พอจะเรียนรู้เรื่องนิพพานนี่
เข้าใจให้ตรงว่าเป็นธรรมระดับวิมุติ ไม่ใช่สมมุติ ไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือดับ
อาทิเช่น เมื่อบุคคลได้ขันธปรินิพพานก่อนตายแล้วตื่นแจ้งนี้ เขาไม่ได้หายสูญไปจากโลกเหมือนพระสมณโคดมก็ไม่ได้สูญหายไปจากโลก
ทว่า “ความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็นิพพานสิ้นไป” ร่างกายยังอยู่ สังขารยังไม่ดับไป
ก็เกิดใหม่เป็นพระสมณโคดม ความคิดที่ “อยากไม่เกิดอีก” ก็จบสิ้นลงด้วย
เพราะตื่นแจ้งแล้วว่าการเกิดการดับล้วนเป็นธรรมดา เป็นแค่สมมุติธรรมเท่านั้นเอง
สมมุติธรรมมันจะเกิดจะดับก็ช่างมันไป ก็เป็นเช่นนี้เองแหละ
ไม่มีสาระต้องไปกังวลว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก “วิมุติธรรมและนิพพาน” นี่ต่างหาก
ที่ควรสนใจ
๔ เรื่องจิต
ก็เรื่องหนึ่ง
ดูเรื่องนิพพานแล้วทีนี้มาดูเรื่องจิตบ้าง
ดังที่กล่าวว่าจิตเป็นสมมุติธรรม มีการเกิดดับได้เป็นธรรมดา เรียกว่า “จุติจิต”
ตอนดับออกจากขันธ์เก่า และ “ปฏิสนธิจิต” ตอนเกิดขันธ์ใหม่ ทีนี้
ขันธ์กับจิตก็คนละตัว มันมีขันธ์เก่ากับขันธ์ใหม่
จิตจะเคลื่อนจากขันธ์เก่าสู่ขันธ์ใหม่ จิตที่เคลื่อนออก เรียกว่า “จุติจิต” ส่วนจิตที่เกิดในขันธ์ใหม่เรียกว่า
“ปฏิสนธิจิต” อันนี้คือการดำเนินไปของจิตนะ เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับขันธ์มาก
แต่คนละส่วนกัน
ก็อย่างที่อธิบายว่ามีการปฏิสนธิของจิตที่เคลื่อนออกจากขันธ์เก่ามาสู่ขันธ์ใหม่
ดังนั้น อย่าไปหลอกลวงคนว่าจิตกับขันธ์เป็นอันเดียวกัน ไม่เช่นนั้น จะไม่เข้าใจคำอธิบายเรื่องจุติจิตและปฏิสนธิจิต
ผิดมั่วไปหมดเลยนะ
๕ ผู้ที่ได้นิพพานดีกว่าอย่างไร?
ในเมื่อเรื่องของจิต
อันเป็นสมมุติธรรมก็ยังมีการเกิดดับเป็นธรรมดาเช่นเดิม
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกฏของภาคสมมุติธรรมเขาได้? คำตอบคือ คนที่ตายโดยไม่ได้นิพพานนั้น
ขันธ์ห้ายังไม่ได้นิพพาน จะอาลัยอาวรณ์ในภพภูมิเก่า
บางท่านเป็นเทพเทวดาแล้วก็ยังอาลัยกับคนรัก ยังมีปมในใจจากชาติที่แล้ว ฯลฯ
ไม่หายได้เลย แม้ว่าเทวทูต, ยมทูตจะมีกระบวนการช่วยให้เราลืมชาติก่อน เช่น
ให้ดื่มน้ำชาลืมชาติ แต่มันจะช่วยได้บ้างก็เท่านั้นแหละ ไม่ใช่จะนิพพานหมดได้
ทีนี้ คนที่ได้นิพพานจะต่างไป เขาเหมือนลืมทุกอย่าง เกิดใหม่เป็นคนใหม่ที่แท้จริง
เหมือนเราเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันจะสดใสกว่า ไม่มีเรื่องในอดีตชาติมาทำให้อาลัย
รบกวนใจเรา
นิพพานจึงทำให้หลุดพ้นทุกข์ได้
แต่ไม่เกี่ยวกับเกิดหรือไม่เกิด!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น