การฟื้นฟูจิตวิญญาณเดิมแท้
ในบทความก่อนได้อธิบายเรื่องการสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วว่ามีลักษณะอาการอย่างไร
ปกติแล้วคนเราไม่ควรเป็นเช่นนี้ครับ
แต่ยุคสมัยนี้พบว่ามีการสูญเสียจิตวิญญาณเดิมแท้เยอะมากผิดปกติ
อันเนื่องมาจากการทำกรรม-รับวิบากกรรมที่แตกต่างไปจากอดีต
ในบทความนี้จะกล่าวเรื่องฟื้นฟูจิตวิญญาณ ดังต่อไปนี้
๑ จิตวิญญาณไม่เที่ยง
ไม่ใช่อัตตา
เราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นว่าจิตวิญญาณเป็นตัวเราของเราได้
เพราะมันไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา จิตวิญญาณที่ดีในร่างของเรา เช่น จิตวิญญาณโพธิสัตว์สามารถจรจากร่างเราไปได้เหมือนการถอดจิตวิญญาณ
ทว่า ในกรณีนี้ เขาจะไม่กลับมาร่างเราอีก ร่างของเราที่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วจะได้รับจิตวิญญาณใหม่มาแทน
หากไม่มีจิตวิญญาณใหม่มาแทนที่ เราก็จะตายครับ ในขั้นแรกๆ มักได้รับจิตวิญญาณปีศาจ
เราต้องบำเพ็ญไต่ระดับจากจิตวิญญาณปีศาจไป โดยการกำเนิดใหม่ให้เป็นมนุษย์หรือเทพ ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี
แต่หากใครไม่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นปีศาจต่อไปก็ได้ครับ ปีศาจบางตนถูกกักขัง
ถูกจับติดคุกก็มีครับ
๒ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
เพราะเราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นจิตวิญญาณได้ แม้จะมีจิตวิญญาณที่ดีในร่างของเราก็ตาม
ดังนั้น เราจึงทำได้เพียง
“ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” คือ
การปฏิบัติธรรมอย่างไม่ประมาท หากเราสูญเสียจิตที่ดีไปแล้ว
เราจะต้องบำเพ็ญบารมีใหม่และผ่านด่านต่างๆ ใหม่อีกครั้ง เราจะต้องกำเนิดใหม่อีกรอบจนกว่าจะกำเนิดเป็นมนุษย์หรือเทพครับ
เพราะการเป็นมนุษย์หรือเทพนั้นจะทำให้เรารับธรรมสายพุทธได้
ถ้าเรามีจิตต่ำกว่านี้เราจะรับธรรมของพุทธไม่ได้
เพราะเราจะหลงตัวเองไม่ยอมก้มจำนนต่อผู้ที่ถ่ายทอดธรรมให้เราฮะ หลายท่านเคยเป็นพระที่ดี
ปฏิบัติเคร่งครัดยิ่งยวด มาเสียเอาตอนท้ายก็มี เพราะยึดมั่นธรรมเป็นตัวกูของกู
๓ การปฏิบัติธรรมซ้ำด้วยโจทย์ใหม่
แก่นแท้แห่งธรรมเป็นสิ่งเดิมเดียวกัน
แต่เราจะยึดมั่นถือมั่นธรรมะเหล่านี้เป็นตัวกูของกู ไม่ได้ แม้ว่าเราจะรู้ธรรม
บรรลุธรรมใดแล้วก็ตาม แต่เมื่อจิตวิญญาณที่ได้สำเร็จธรรมจรจากร่างเราไป
จิตวิญญาณดวงใหม่มาแทนที่ เราก็จะต้องบำเพ็ญธรรมใหม่ แต่เราจะใช้สัจธรรมเดิมมายึดมั่นถือมั่นว่าคือสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้
แต่ต้อง “หาโจทย์ใหม่” ครับ และโจทย์นั้นจะอยู่ในจิตวิญญาณของเราเองเหมือนปมในใจที่ผูกมัดไว้ให้จิตวิญญาณนั้นๆ
กลายเป็นปีศาจเป็นต้น เมื่อเราแก้ปมในใจ
ในจิตวิญญาณนั้นได้แล้วเขาก็จะกำเนิดใหม่ได้ เราจะต้องทำเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ
เพราะอะไร? เพราะแม้เราบรรลุแล้วก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา
การสำเร็จธรรมไม่ใช่อัตตาครับ
๔ การสำเร็จธรรม
ไม่เที่ยง ไม่ใช่อัตตา
หลายคนเมื่อสำเร็จธรรมแล้วมักคิดว่า “ฉันบรรลุธรรมแล้ว”
จากนั้นก็จะตกอยู่ในความประมาท และเสื่อมในธรรมครับ เพราะอะไร? เพราะไปหลงคิดว่าการบรรลุธรรมนั้นเที่ยง
เป็นตัวกูของกู กูคือผู้บรรลุธรรม คือ พระอรหันต์แล้ว เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วทำอะไรก็ไม่ผิด
เพราะไม่ยึดติดอะไรแล้ว ไม่มีเจตนาแล้ว ไม่จริงนะครับ บางคนหลงเตลิดไปไกลกว่านี้
ชนิดกู่ไม่กลับกันเลยทีเดียว เช่น หลงตั้งตนเป็นศาสดา
เร่หาสาวกทั้งสร้างลัทธินิกายใหม่ ก็มี นี่ละ มันเริ่มต้นจากความยึดมั่นถือมั่นว่า
“ตัวกูของกูคือผู้บรรลุธรรม” การบรรลุธรรมมีจริงแน่นอนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่การยึดมั่นว่าตัวกูของกูบรรลุธรรมนั้น มีแต่เสื่อมครับ
๕ การฟื้นฟูจิตวิญญาณเดิมแท้
เมื่อใครสักคนสูญเสียจิตวิญญาณเดิมแท้ไปเพราะความไม่เที่ยง
ไม่ใช่อัตตา เขาได้รับจิตวิญญาณอื่นมาอยู่ในร่างแทน สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือการกำเนิดใหม่ให้ได้
ในการกำเนิดใหม่นี้คุณจะต้องผ่านความตายก่อน
เมื่อตายทางจิตวิญญาณแล้วก็เกิดใหม่ได้โดยร่างสังขารเก่ายังใช้ได้เหมือนเดิม
และการจะผ่านด่านเหล่านี้ได้นั้นคุณจะต้องมี “พลังแห่งรัก” ที่มากพอ
เพราะหากพลังแห่งรักไม่มากพอ คุณก็จะไม่กล้าผ่านด่านความตาย คนเราเมื่อมีความรักแท้แล้วไม่กลัวตาย
สามารถเผชิญหน้ากับความตายได้ แต่หลายคนมีพลังแห่งรักน้อยเกินไป
เมื่อต้องเผชิญด่านความตาย ก็จะถอยหนี จะกลัวตาย สุดท้าย ก็จะกำเนิดใหม่
ไม่สำเร็จครับ
พลังแห่งรักจะมาก
หากคุณสร้างความรักกับพระนิตยโพธิสัตว์ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น