อนัตตาในความเข้าใจที่ผิด
หลายท่านมักคิดว่าเข้าใจความหมายของอนัตตาได้ดี
ทว่า ก็ยังมีหลายท่านเข้าใจผิดอยู่
เพราะสัจธรรมนั้นไม่อาจอธิบายแทนที่ด้วยสิ่งอื่นใดได้ สิ่งที่ได้รับรู้มาย่อมเป็นเพียงความเข้าใจจากการมองจากภายนอกและ
การรับรู้เท่านั้น นั่นไม่ใช่การเข้าถึงและเป็นหนึ่งเดียวกับอนัตตา
ในบทความนี้จะขออธิบาย ดังต่อไปนี้ครับ
๑ อนัตตาแบบนิรัตตา
ความเข้าใจผิดอย่างแรกนี้เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยและผู้เขียนได้อธิบายไว้หลายบทความแล้ว
สรุปคือ เขาเข้าใจผิดคิดว่าอนัตตาคือ “ความไม่มีตัวตน” แท้จริงแล้วนั้น
อนัตตาไม่ใช่ทั้งความมีตัวตนและความไม่มีตัวตน อนัตตาคืออนัตตา
หากพระสมณโคดมตรัสรู้ความมีตัวตนหรือความไม่มีตัวตนแล้ว
ก็คงไม่ต้องใช้คำศัพท์ใหม่ว่า “อนัตตา” นี่เพราะอนัตตามีความหมายเฉพาะของมันเอง
ไม่อาจแทนที่ได้ด้วยความหมายว่ามีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ทว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น
ลัทธินิรัตตายังได้รับความนิยมมาก พวกเขาเชื่อว่าไม่มีตัวตนอะไรเลย เช่น
ถ้าเราฆ่าคนตายก็ไม่ผิดอะไร เพราะคนไม่มี ตัวตนก็ไม่มี ผู้ฆ่าไม่มี
ผู้ถูกฆ่าก็ไม่มี
๒ อนัตตาแบบวิปริต
อีกพวกหนึ่งคือพวกพยายามเข้าใจความหมายของอนัตตาแล้วพลาด
กลายเป็นวิปริตไปเลย เช่น ไปขโมยของคนอื่นแล้วบอกว่า “ทุกอย่างล้วนอนัตตา”
มันไม่ใช่ของคุณ และมันก็ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ แบบนี้
ดูเหมือนไม่น่าจะมีใครผิดพลาดได้ ทว่า แท้จริงแล้วแม้แต่ระดับสูงๆ ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ก็ผิดแบบนี้ครับ
พวกเขามีมิจฉาทิฐิคิดว่า “อำนาจเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร” ดังนั้น กูจะแย่งมาก็ได้
ไม่เห็นจะผิดอะไรนี่? นี่แหละ พวกเขาคิดอย่างนี้ พวกเขาคิดอีกว่าของในโลกเป็นอนัตตา
ไม่ใช่ของใคร จากนั้นก็ถลุงเงินของประเทศไปใช้มากมายจนเป็นหนี้มหาศาล
นี่แบบนี้แหละ “อนัตตาแบบวิปริต” ผิดปกติครับ
๓ อนัตตาแบบดีแต่ปาก
อันนี้ก็พบได้บ่อยมากๆ
คนที่ดีแต่ปาก พล่ามพูดธรรมะ ไม่ยึดอะไรแล้ว ทุกอย่างอนัตตา ทุกอย่างว่างเปล่า
อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ไม่เอาทั้งนั้น พอเขาเชิญให้ไปแสดงธรรม ไม่ยอมไปถ้าไม่มีโรงแรมให้นอน
ไม่มีคนมารับ นี่ อนัตตาตรงไหน? แบบนี้ยังมีตัวกูของกูอยู่เต็มพิกัดเลย
คนพวกนี้มีอยู่เยอะมากเพราะสังคมไทยเป็นแบบ “ยอมโง่” คือ ทั้งๆ
ที่รู้และเห็นกับตาว่าเขามีพฤติกรรมแบบไหน? สวนทางกับคำพูดอย่างไร?
คนไทยก็ยังคงหลงงมงาย คือ ขอแค่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ก่อน
อย่างอื่นไม่รู้ ไม่สน ไม่อยากคิด ต่อให้มันผิดก็ช่างมัน นี่ คนไทยจำนวนมากเป็นแบบนี้
ดังนั้น เราก็เลยเห็นมิจฉาชีพ, สิบแปดมงกุฏอยู่เต็มประเทศไทยไงครับ
๔ อนัตตาแบบดีแต่สมอง
เป็นอนัตตาเทียมที่พบได้บ่อยมากอีกเช่นกัน
พวกนี้รู้และเข้าใจหลักอนัตตาแต่สมองเท่านั้น ดีแต่ใช้สมองเท่านั้น แต่ธรรมะไม่เข้าถึงใจของเขาได้เลย
ใจของเขาด้านชา สมองและปากพูดธรรมะ ทำตัวเหมือนคนดี มีจิตเมตตา
ทำตัวเหมือนกับพระโพธิสัตว์อะไรแบบนั้นเลยก็มี ทว่า ทั้งหมดนี้ไม่มีเลยที่ใจ
ใจของเขาไม่มีเลยความรักแท้ต่อใคร น่าแปลกไหม? ทั้งๆ ที่ภายนอกดูดี สมองคิดดี,
พูดจาดี, ทำความดีมากมาย ราวกับว่ามีเมตตาเหลือประมาณแต่จิตใจกลับด้านชา?
คนแบบนี้มีอยู่นะครับ จะบอกให้ ไม่มีธรรมในใจ ธรรมไม่ถึงใจของเขาได้
ไม่ต่างอะไรกับบัวแล้งน้ำ ทุกอย่างที่เราเห็นเขาเป็น, คิดและทำนั้น ดูดีมาก
แต่ไม่มีที่ใจเลยครับ
๕ อนัตตาแบบอื่นๆ
อนัตตาปลอมๆ ที่เลียนแบบอนัตตาจริงมีอยู่มากมาย
ไม่ต่างอะไรกับของปลอม, ของเลียนแบบที่ขายอยู่ในประเทศไทยมากมายทุกแห่งหน
และที่น่าแปลกคือ “คนยอมรับของปลอมได้” อันนี้อันตรายมาก
บางคนรู้ว่าอนัตตาจริงมีอยู่หรือได้พบเจอของแท้, คนจริงเข้าแล้ว แต่ก็ไม่เอา ไปเอาของปลอมแทนเฉยเลยก็มี
ด้วยว่าของจริงมันยาก ต้องเหนื่อยยากกว่าจะได้มาก ต้องใช้บารมีมาก ต้องวิริยะ,
ต้องใช้ขันติความอดทน ฯลฯ สุดท้าย “เอาของปลอมก็แล้วกัน” แถมยังหลอกตัวเองว่าจริง
ยกย่องศาสดาจอมปลอมว่าเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่เสียอีกแน่ะ อันนี้คืออันตรายอย่างมาก
อย่าทำเลย กลับไปทำงานปกติ หาเลี้ยงชีพดีกว่ามาทำแบบนี้ครับ
เพราะผลจากการได้ธรรมะปลอม
ร้ายแรงกว่าความหลงโลกครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น