จงใช้สมมุติดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์




ในบทความก่อนๆ ได้อุปมาว่าธรรมะเหมือนนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ หาใช่ดวงจันทร์ไม่ ธรรมะมิใช่สัจธรรม แต่เพื่อชี้แนะปวงสัตว์ให้เห็นดวงจันทร์จำต้องมีธรรมะ ในบทความนี้จะขออธิบายเรื่องสมมุติต่างๆ ที่แท้แล้วก็เป็นดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์อยู่แล้วเช่นกัน เพียงแต่ไร้คำอธิบายของศาสดา แต่เราสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
  
๑ สมมุติธรรมล้วนมีสัจธรรมเป็นแก่นแท้?
สมมุติธรรมทุกอย่างล้วนมีสัจธรรมเป็นแก่นแท้อยู่ภายในทั้งสิ้น (มีเปลือกย่อมมีแก่น มีแก่นย่อมมีเปลือก) เป็นธรรมดา ทว่า สัตว์ทั้งหลายไม่มีญาณหยั่งรู้ขั้นสูง ไม่มีสติปัญญาดีอย่างพระพุทธเจ้า จะอาศัยสมมุติเหล่านี้แล้วตรัสรู้เอง “คงหามิได้” ดังนั้น ธรรมะของพระศาสดาจำต้องมี เพื่อมาโปรดสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีความสามารถดังเช่นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทว่า แท้แล้วสมมุติธรรมทั้งหลายก็ล้วนเป็นดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ สำหรับผู้ที่มีกำลังในการตรัสรู้ทั้งสิ้น เช่นนี้ จึกล่าวได้ว่าสมมุติธรรมทั้งหลายล้วนเป็นดั่งนิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ ทว่า สำหรับสาวกยานแล้วไม่อาจตรัสรู้เองได้ จำต้องอาศัยพระธรรมจากพระศาสดา จึพอจะบรรลุได้

๒ ทุกคนมีศักยภาพในการบรรลุพุทธะ?
ในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรกล่าวไว้ชัดเจนว่าพระศากยมุนีได้ทรงแสดงธรรม ในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรบางส่วนว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีศักยภาพในการบรรลุพุทธสภาวะได้เท่าเทียมกัน นี่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะบรรลุได้พร้อมกันนะ อย่าเข้าใจผิด แต่แค่มีศักยภาพในการบรรลุเท่าเทียมกันเท่านั้นเอง สมมุติว่าชาตินี้ คุณไม่มีบารมีมากพอ คุณต้องบำเพ็ญบารมีไปเรื่อยๆ ก่อน จะบรรลุทันทีตามคนอื่น เอาอย่างคนอื่นเขาเลย มิได้ “ทุกอย่างล้วนมีวาระของมัน” มะม่วงไม่ใช่จะสุกทันที มันต้องมีวาระบ่มเพาะ เราทั้งหลายมีศักยภาพในการบรรลุพุทธสภาวะก็จริง แต่อย่าไปพูดมั่วว่าทุกคนเป็นพุทธะอยู่แล้ว หากยังไม่ใช่ ก็คือยังไม่ใช่ครับ
                                                                                                 
อนุพุทธะและการตรัสรู้ตามๆ กัน
ในพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นมิใช่มีพุทธะองค์เดียว แต่มีได้มากมายเรียกว่า “หมื่นพุทธะ” ในพระสูตรมหายานบางพระสูตรได้บันทึกคำสอนของพระศากยมุนีเอาไว้ในเรื่องนี้ ทว่า คนในยุคก่อนและยุคนี้ที่มีบารมีพอที่จะเข้าใจนั้น “หาได้ยากยิ่งนัก” เมื่อไม่เข้าใจก็จะด่าว่า, ปรามาสจนเป็นกรรมหนัก คนเรานั้น ถ้าไม่ได้ตรัสรู้แจ้งอะไร เงียบเฉยไว้ก็ได้ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หลายคนไม่ได้ตรัสรู้แจ้ง แต่ทำเหมือนว่ารู้แจ้งเรื่องพุทธะแล้วปรามาสคำสอนเรื่อง “หมื่นพุทธะ” นี้ ว่าพระพุทธะต้องมีองค์เดียวเท่านั้น แท้แล้ว มิใช่ พุทธะมีได้เป็นหมื่นๆ องค์อยู่ภายใต้การปกครองของ “พระพุทธเจ้า” องค์เดียว เรียกว่า “อนุพุทธะ” นั่นเอง
                                                                                                 
๔ อนุพุทธะกับพระปัจเจกพุทธเจ้า
สองอย่างนี้แตกต่างกันแน่นอน แม้ทั้งสองท่านจะตรัสรู้แจ้งเองได้ก็ตาม ทว่า ต่างกันตรงไหนครับ? ต่างกันก็ตรงที่ “การต่อสายธรรมการเข้ารีตเข้าระบบ” กล่าวคือ อนุพุทธะจะเข้าสู่ระบบการปกครองของพระพุทธเจ้า แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าจะไม่เข้าระบบแบบนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แจ้งแล้ว อาจจรไปทั่วในจักรวาลก็ได้ มิต้องอยู่ภายใต้สังกัดของพุทธเกษตรใดเลย แต่อนุพุทธะตรัสรู้แจ้งแล้ว จะเข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้า ต่างกันตรงการเข้าสู่ระบบหรือจะเรียกว่าการเข้ารีตอะไรก็ได้แล้วแต่จะใช้คำสมมุติเรียกกันไป ถามว่าเราจะเข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? ก็ต้องมีการ “ต่อสายธรรม” ครับ จะมีผู้มาต่อสายธรรมให้เรานั่นเอง

๕ การต่อสายธรรมคืออะไร?
การต่อสายธรรมคือ การที่เราไม่ได้เดินเองคนเดียวแล้วแหกคอก เป๋ออกนอกทาง หาทางของตัวเองแล้วได้สำเร็จเองแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า หามิได้ ตรงข้าม เราจะเดินตามๆ รอยของท่านที่เดินไปก่อนเรา เมื่อผู้ใดบรรลุอนุพุทธะ ตรัสรู้เองแล้วอาจกลายเป็นพระปัจเจกฯ ได้ เมื่อนั้นจะมีผู้มาช่วยต่อสายธรรมให้เรา ทำให้มีการเชื่อมต่อกันของสายธรรม เราจะน้อมยอมรับการเป็นใหญ่ของพระพุทธเจ้าแห่งพุทธเกษตรนั้นๆ เราจะมีพุทธเกษตรนั้นรองรับ เราจะไม่ต้องสร้างพุทธเกษตรด้วยบุญบารมีของเราเอง ซึ่งแม้จะทำได้แต่อาจต้องกินเวลาหลายกัปกัลป์มากๆ ดังนั้น เราจึยอมเข้าสู่ระบบและเป็น “อนุ” หรือเป็นสาวกผู้น้อยที่สำเร็จพุทธะได้
                             
คนที่ฉลาดมากๆ แต่ไม่มีพุทธเกษตรรองรับก็มีอยู่เยอะนะครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?