ละครโลกดำเนินไปอย่างไร?




ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวเรื่อง “โลกคือละคร” เอาไว้บ่อยมาก หลายคนอาจยังไม่เห็นภาพเพราะคำว่าละครอาจมองได้ง่ายๆ เหมือนละครที่เราดูทั่วไป ทว่า หากพิจารณาให้ถ้วนถี่ยังมีความซับซ้อนอีกมากนัก ในบทความนี้จะนำความซับซ้อนของละครแห่งโลก มาอธิบายให้ท่านได้เรียนรู้ร่วมกัน ดังต่อไปนี้ครับ
  
๑ สองระบบคู่ขนาน
โลกดำเนินไปด้วยสองระบบคู่ขนานได้แก่ ๑ ระบบตามธรรมชาติ ตรงไปตรงมาอย่างที่มันเป็น ต่อให้มันจะโหดร้ายแค่ไหนก็ต้องเป็นไปเช่นนั้น ๒ ระบบกรุณา ที่มีผู้มีบารมีเอาบุญบารมีของตนเองเข้ามาใช้ช่วยให้ได้สิ่งที่ดีกว่า โดยระบบแรกจะเป็นพื้นฐานไว้เพื่อให้ระบบที่สองเข้ามาเสริมครับ เหมือนฮาร์ดแวร์กับซอฟแวร์ เราไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง เราจะอ้างว่าเราไม่ได้ทำร้ายใคร เราทำความดี แค่นี้ไม่ได้ครับ เพราะหากเราไม่มีความรู้จริง แล้วการกระทำของเรากระทบระบบแรกเข้า มันก็เป็นปัญหาได้ เช่น สมมุติว่า นาย ก. มีกรรมต้องถูกฆ่าตามระบบแรก แต่เราไปทำความดีฝืนธรรมชาติ แบบนี้เรากระทบระบบแรกครับ

๒ โลกก็เหมือนแมตทริกซ์
โลกถูกสร้างอย่างมีระบบ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญหรือการสุ่มมั่วๆ และเราสามารถอ่านแบบแผนของระบบต่างๆ ที่ถูกสร้างไว้ในโลกได้ ไม่ต่างอะไรกับการผ่าศพดูระบบภายในของมนุษย์ ระบบในโลกมีมากเกินกว่าจะนับได้ เมื่อเราเข้าใจระบบใดเราอาจจะควบคุมหรือแม้แต่ขับเคลื่อนระบบนั้นๆ ได้อย่างอัศจรรย์ อะไรที่ยาก กลายเป็นง่าย ไม่ต่างจากคนที่ขับรถเป็น แค่นั่งแล้วจับพวงมาลัยนิดหน่อย รถก็ไปได้แล้ว แต่คนที่ขับไม่เป็นอาจไปผลักท้ายรถ หวังให้มันเดินหน้าก็ได้ ระบบของโลกก็เช่นนั้น แม้แต่การจะทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิด, น้ำท่วมโลก ฯลฯ ล้วนมีกลไกลทั้งนั้น ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรืออาวุธนิวเคลียร์อะไรเลย
                                                                                                   
พระโพธิสัตว์เหมือนนีโอ
นีโอคือคนที่สละตนเข้าไปในระบบของแมตทริกซ์เพื่อแก้ไข เพื่อสิ่งที่ดีกว่า พระโพธิสัตว์ก็เป็นเช่นนั้น เข้ามาสู่โลกเพื่อหาทางที่ดีกว่าให้แก่ปวงสัตว์ทั้งหลาย ทว่า พระโพธิสัตว์จะทำตามอำเภอใจไม่ได้ แต่ละองค์จะมีบุญบารมีของตนเอง สมมุติว่า ๑ ล้านหน่วย ถามว่าจะใช้อย่างไร? ก็ต้องบริหารเอาเอง ใช้หมดก็หมดตัวไป หมดตัวแล้วก็ต้องเป็นไปตามกรรม บางคนเสื่อมลงไปเกิดในอบายภูมิสี่ก็มี เพราะเบิกบุญมาใช้เกินตัว บอกไว้ให้ระวังกันครับ พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ท่านจะเลือกโปรดสัตว์ไม่เหมือนกัน บางองค์โปรดกุมาร ชอบเลี้ยงเด็ก, บางองค์โปรดอสูรหรือสัตว์ร้าย ชอบเลี้ยงสัตว์, บางองค์โปรดคนยากจน, บางคนโปรดนักธุรกิจ ฯลฯ
                                                                                                   
๔ โลกนี้มีหลักสัตว์กินสัตว์อยู่
โลกของเราไม่ใช่สุขาวดีที่ทุกคนจะไม่กินเนื้อสัตว์ ตรงข้าม ในป่านั้นมีสัตว์กินกันเป็นทอดๆ นี่คือธรรมชาติ มันเป็นเช่นนี้เอง คนเราก็เช่นกัน มีการเหยียดกัน, กดข่มกันเป็นทอดๆ อันนี้คือกฏธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นให้คนพัฒนาตัวเองให้มากกว่าเดิม ไม่ใช่หลงโลก เฉื่อยแฉะ อะไรก็ได้ไปวันๆ ไม่ได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะตกเป็น “เหยื่อของโลก” นั่นเอง สัตว์ที่ตกเป็นเหยื่อของโลกเพราะหลงเพลินในโลก จะต้องกลายเป็นสัตว์ที่เวียนว่ายอยู่ในโลกนี้ไม่หลุดพ้นได้ ไม่รู้กี่กัปกี่กัล ทั้งๆ ที่โลกธาตุอื่นๆ ที่ดีกว่า เจริญกว่าก็มี ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจมาจากโลกธาตุที่ดี เช่น สุขาวดี, พรหมโลก ฯลฯ แต่เมื่อหลงเพลินโลกนี้แล้ว ย่อมตกเป็นเหยื่อของโลก

๕ โลกมีด้านมืดเพื่อให้เราสว่าง
หากโลกไม่มีด้านที่เลวร้ายเลย เราจะตื่นแจ้ง สว่างไสว หลุดพ้นจากความหลงโลกได้อย่างไร? จริงไหมครับ ในขณะเดียวกัน เทพ, โพธิสัตว์ ฯลฯ ที่ยอมสละตนลงมาฉุดช่วยปวงสัตว์ก็มีมากมายหากโลกนี้ย่ำแย่เกินไป ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอาจไม่ยอมลงมาเกิดในโลก ดังนั้น โลกก็ต้องมีด้านที่ดีบ้าง เพื่อเอาไว้รองรับการมาเยือนของแขกที่มีเกียรติ์ทั้งหลาย แม้จะเป็นการรับรองการดำรงอยู่ชั่วคราวก็ตาม สุดท้ายแล้วทุกคนจะได้พบกับ “ด้านมืดหรือด้านที่ไม่ดี” ของโลก เพื่อที่จะทำให้ตื่นแจ้งและหลุดพ้นจากโลกได้ ทำให้กลับคืนสู่โลกที่ตนจากมา เช่น สุขาวดี, พรหมโลก ฯลฯ ดังนั้น จงอย่าคิดว่าสิ่งที่ไม่ดีที่ได้รับเป็นความไม่ดี นั่นคือ ธรรมะ!
                             
คนโชคร้ายคือคนที่ขาดแคลนสิ่งที่ไม่ดี ที่มาช่วยปลุกให้ตื่นแจ้งครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?