จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป
หลายท่านเชื่อว่า
“เรามีจิตดวงเดียว และจิตดวงนั้นคือเราเที่ยงแท้แน่นอน” ทว่า ความคิดเช่นนี้กลายเป็นแนวคิดของลัทธิอาตมันที่เชื่อว่ามีตัวเราที่แท้จริงคือจิตวิญญาณครับ
แท้แล้ว ความหมายของคำว่าจิตดวงเดียวท่องเที่ยวไปแท้จริงคืออะไร?
ในบทความนี้จะขอนำมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจตรงกันใหม่ ดังต่อไปนี้ครับ
๑ เอกะจะรัง
จิตตัง หมายความว่าอะไร?
วลีนี้ปรากฏในพระไตรปิฎกแปลว่า
“จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป” ทว่า มีหลายท่านเข้าใจผิดมาก ความหมายคืออย่างนี้ครับ
จิตดวงเดียวเท่านั้นที่ท่องเที่ยวไป มิได้เอา “ขันธ์ห้า” ไปเที่ยวด้วย หรือก็คือ
ขันธ์ห้าแตกดับไปเรื่อยๆ จากตัวตนสมมุติตัวตนแรก ไปสู่ตัวตนที่สอง, สาม, สี่ ฯลฯ
มีแต่จิตเท่านั้น จิตดวงเดียวที่ท่องเที่ยวไป เข้าใจไหมครับ? มันไม่ได้แปลว่าเรามีจิตแค่ดวงเดียว
หรือในกายสังขารของเราจะมีจิตดวงเดียวเท่านั้น
ในกายสังขารของเราอาจมีจิตวิญญาณมากมายก็ได้ แต่เมื่อเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จะมีแค่
“จิตดวงเดียว” ที่ท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีขันธ์ห้าไปด้วย
จิตวิญญาณอื่นๆ ก็แยกไปตามทางใครทางมัน
๒ กายสังขารมีจิตวิญญาณดวงเดียว?
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเช่นนั้นครับ
หากยึดมั่นเช่นนั้นก็จะกลายเป็น “ลัทธิอาตมัน” ยึดจิตวิญญาณเป็นตัวตนของตนไป
กายสังขารของเรานั้นไม่ใช่ “ตัวตนของตน” ไม่ต่างอะไรกับวัด มีคนเข้าออกได้ใช่ไหม?
สังขารนี้ก็เช่นนั้น
จิตวิญญาณจรเข้าออกได้เหมือนกันเพราะไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้นั่นเอง
โดยเฉพาะผู้ที่ได้มโนมยิทธิ สามารถใช้จิตวิญญาณในร่างออกไปท่องเที่ยวดูนรกสวรรค์ก็ยังได้
นี่คือ เครื่องพิสูจน์ว่า “กายกับจิตยึดกันไม่ได้” จิตจะยึดว่านี่คือกายของข้า
ไม่ได้, กายจะยึดว่าจิตนี้เป็นของข้า ก็ไม่ได้ ทีนี้หลายคนไปอ่านไตรปิฎก
ค้นมาเจอวลีว่า “จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป” ก็มาตีความกันผิดๆ ว่าเรามีจิตดวงเดียว
ดวงนี้เป็น “ตัวกูของกู”
๓ คำว่า “ธาตุขันธ์มาประชุมรวมกัน”
อันนี้เราต้องเข้าใจให้ดีๆ
นะครับ จิตวิญญาณก็ดี, ขันธ์ทั้งห้าก็ดี, ธาตุทั้งเจ็ดก็ดี มาประชุมรวมกันเป็นตัวตนเชิงสมมุติคือเรานี้
เมื่อเราแยกแยะพิจารณาดีๆ แล้ว เราอาจพบจิตวิญญาณหลายดวงในร่างของเราได้ครับ
มันจะแปลกอะไร ในเมื่อในร่างกายเรายังมีพยาธิ มีสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่มา “ประชุม”
อาศัยอยู่ได้เลย ก็เพราะ “ร่างกายนี้มิใช่ตัวกูของกู”
ไม่ใช่ที่เราจะยึดมั่นถือมั่นได้ไงฮะ จะบอกว่านี่คือร่างกายของฉันนะ
จิตวิญญาณอื่นห้ามเข้ามาอยู่นะ มันก็ห้ามไม่ได้ เราก็ยึดไม่ได้ มันเป็นแค่ “ธาตุขันธ์”
ที่มาร่วม “ประชุม” กันชั่วคราว แค่นั้นเอง ดังนั้น อย่าไปหลงว่าจิตดวงเดียวท่องเที่ยวไปนี้คือเรา
คือตัวเราของเรา มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะครับ
๔ หากมิใช่จิตดวงเดียวแล้วเราแท้จริงคือใคร?
ถ้าพูดว่าเราในฐานะตัวตนสมมุติ นาย ก. นาย ข.
อะไรนี้ ก็บอกได้ว่าคือ “ธาตุขันธ์ที่มาประชุมรวมกัน” แค่นั้น
แต่ถ้าถามว่าแล้วเราจริงๆ คือใคร? ที่จะไปเวียนว่ายตายเกิด? อันนี้ก็อยู่ที่
“ความยึดมั่น” ยึดมั่นใคร มันก็จะไปทางนั้น คำว่าไปทางนั้นอาจไม่ใช่ตัวตนนั้นๆ
เพราะตัวตนนั้นๆ ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เข้าใจไหมละครับ เช่น ถ้าเรามีจิตวิญญาณพุทธะอยู่ในตัว
เรามีกิเลสอยากยึดเอาไว้เป็นตัวเราของเรา ถามว่ายึดมั่นถือมั่นได้ไหม? ก็ไม่ได้นะ
พอเราอยากยึดพุทธะ ไอ้ความอยากยึดพุทธะนี่แหละที่นำพาเราไป บางทีหลงออกไปจากความเป็นพุทธะด้วยซ้ำ
ไปเป็นอย่างอื่นเสียก็มี นี่เพราะไม่เข้าใจ “เราในฐานะอนัตตา” ที่ไม่ใช่ตัวตนหนึ่งใด
๕ สภาวะอนัตตาแห่งเรา
หากคุณยกระดับจิตวิญญาณไปสู่มิติที่สูงมากๆ
ได้ คุณตื่นแจ้งในสภาวะอนัตตาได้ คุณจะเข้าใจภาวะที่ไม่มีตัวตนของตนเป็นอัตตา ตัวๆ
แต่จะบอกว่าไม่มีตัวตนเลย ทุกอย่างว่างเปล่า “ก็มิใช่” มีตัวตนก็ไม่ใช่ ไม่มีอะไรเลย
ว่างเปล่าก็ไม่ถูก เก็จนะครับ ในสภาวะอนัตตานั้น คุณจะไม่มี
“จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไปในฐานะตัวกูของกู” แต่จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไปนั้นจะอยู่ในสภาวะอนัตตา
มิใช่ตัวกูของกู ส่วนตัวตนสมมุติที่มีอยู่ในโลกนี้นั้น มันก็แค่ “ธาตุขันธ์ที่มาประชุมกัน”
เท่านั้นเอง เมื่อยามเหตุปัจจัยที่มาประชุมกันนี้ แตกดับลง แต่ละส่วนก็ต่างไปคนละทาง
มิอาจจะยึดมั่นถือมั่นได้ว่า “จิตดวงเดียวดวงนี้คือตัวกูของกู” แต่อย่างใดเลย
จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป
มิใช่ในฐานะตัวกูของกู อย่ายึดว่าเป็นเรา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น