ธรรมทั้งหลายล้วนบริบูรณ์ในระดับนิพพาน


  
ทุกท่านคงเข้าใจดีแล้วว่านิพพานนั้นไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือดับแต่อย่างใด เป็นสัจธรรมเดิมแท้ก่อนที่เราจะหลงว่ามีตัวตน, มีการเกิดดับ ฯลฯ สัจธรรมทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น คือ ไม่เกี่ยวกับการเกิดดับ เพราะมันไม่ใช่ตัวตนของตนแต่แรกแล้ว ในบทความฉบับนี้จะอธิบายถึงความบริบูรณ์ของธรรมระดับนิพพาน ดังต่อไปนี้

๑ ธรรมในระดับนิพพานคืออะไร?
ก่อนอื่นจะขออธิบายคำว่าธรรมในระดับนิพพานก่อนนะครับ กล่าวคือ สัจธรรมความจริงนั้นมีหลายแง่มุม หลายเรื่อง แล้วแต่เราจะมองและหยิบยกมาพิจารณา ไม่ใช่เอะอะอะไรก็นิพพาน หรือความว่างอย่างเดียว ถามว่าถ้าเราไม่พูดเรื่องนิพพานแล้ว ธรรมอื่นๆ ไร้ค่าเลยหรือ? ไม่จริงครับ ธรรมทั้งมวลล้วนอนัตตา แม้แต่นิพพานก็อนัตตา ถ้าเราไปหลงให้ค่าให้ความหมายมากเกินไป เราก็จะเสีย “ความบริบูรณ์ของธรรม” ครับ คำว่าความบริบูรณ์ของธรรมคืออะไร? คือ เราไม่ได้หลงแค่นิพพาน แต่เข้าใจสรรพสิ่งทั้งมวล ธรรมทั้งหลาย ว่ามีลักษณะเดียวกันคือ อนิจจัง อนัตตา และธรรมทั้งมวลเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากนิพพานเลยในระดับเดียวกัน

๒ สัจธรรมทั้งหลายล้วนไม่เกิดไม่ดับ
ดังนั้น ย่อมมีระดับเดียวกับนิพพาน เหตุนี้ “ธรรมในระดับนิพพาน” ย่อมมีได้มากมาย เช่น ความรักในระดับนิพพานหรือความรักอันแท้จริงคืออะไร? ความร่ำรวยในระดับนิพพานหรือความร่ำรวยที่แท้จริงคืออะไร? นี่คือ ความบริบูรณ์ของธรรม ที่มีได้ทุกสิ่งอย่าง สรรพสิ่งล้วนมีสัจธรรมแท้ภายในมิใช่ว่ามีแต่นิพพาน นิพพานนั้นเหมือน “ประตู” เปิดเราไปสู่ “สัจธรรมความจริง” เท่านั้นเอง เมื่อเราเข้าไปในป่าแห่งสัจธรรมแล้ว เราพบ “ใบไม้ทั้งป่ามีมากมาย” มิใช่มีแต่นิพพาน ทว่า การเข้าใจเรื่องนิพพานคือประตูแรกที่นำพาเราไปสู่ความรู้ที่กว้างขวางกว่าเดิม ทว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เรายึดติดในนิพพานอย่างเดียวจนกลายเป็นอัตตาก็หาไม่

๓ กิเลสนิพพานกับ “กิเลสที่แท้จริง”
ดังที่กล่าวแล้วว่าทุกเปลือกย่อมมีแก่น ทุกสมมุติธรรมย่อมมีวิมุติธรรมซ่อนอยู่ภายใน ทุกสรรพสิ่งก็คือธรรม สัจธรรมมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ไม่ใช่มีแต่นิพพานเท่านั้น เก็จนะครับ ดังนั้น แม้แต่ในกิเลสก็มีธรรม อาทิ คำว่า “กิเลสนิพพาน” จะบอกว่าเราทำให้กิเลสดับเที่ยงแล้ว ไม่เกิดอีกตลอดกาล ก็ไม่ใช่ จะบอกว่ามีกิเลสที่เกิดอีกเป็นตัวตนของตนแท้จริง ก็ไม่ถูก จะว่ากิเลสไม่มี ก็ไม่ใช่ จะว่ามีจริงๆ ก็ไม่ถูก เข้าใจไหมครับ? นั่นคือ “กิเลสนิพพาน” เพราะเป็นธรรมระดับนิพพาน ดังนั้น ย่อมไม่อยู่ภายใต้การเกิดดับ เพราะไม่มีอัตตาตัวตนที่แท้จริงแต่แรกจะเกิดได้อย่างไร แล้วจะเอาอะไรมาดับ? สรุป กิเลสในระดับนิพพานนั้นมีอยู่ (กิเลสนิพพาน)
                               
๔ กิเลสนิพพานกับสรรพสิ่งนิพพาน
ในเมื่อกิเลสยังมีได้ (แต่มิใช่มีแบบตัวตนของตน) ในระดับนิพพาน ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น ธรรมะอื่นๆ ก็มีได้เช่นกัน เช่น ความรัก, ความร่ำรวย, ความสุข ฯลฯ ในระดับนิพพานย่อมมีเช่นกัน เรียกได้ว่าสรรพสิ่งล้วนมีได้ในระดับนิพพาน นี่คือ “ความบริบูรณ์ของธรรม” ไม่มีธรรมใดหายไปเลย และไม่มีธรรมใดต้องสร้างใหม่มาด้วย ทุกสิ่งอย่างล้วน “เป็นเช่นนั้นเอง” แต่แรกแล้ว แต่เมื่อเรายังไม่ตื่นแจ้ง ยังไม่มีปัญญาสว่างไสว เราก็ไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านี้ เราจะเห็นผิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นตัวมันของมัน สิ่งโน่นเป็นอีกตัวมันไป สิ่งที่เราเห็น, เข้าใจนี้ก็ล้วนมิใช่สัจธรรมความจริงมิใช่ธรรมะระดับนิพพาน ทว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในระดับนิพพานล้วนมีอยู่จริง

๕ ตัวอย่าง “ธรรมระดับนิพพาน”
ยกตัวอย่าง “ความร่ำรวยที่แท้จริง” หรือสัจธรรมความจริงแห่งความร่ำรวย นั้นมีอยู่ไหมครับ? มีอยู่สิครับ มีแน่นอน ในระดับนิพพานนั้น ความร่ำรวยที่แท้จริงจะมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี จะว่าเกิดมีก็ไม่ใช่ จะว่าดับไป ไม่มีแล้ว ก็ไม่ถูก เช่น ถ้าเราไม่มีเงิน ถามว่าความร่ำรวยที่แท้จริงของเราจะดับไปด้วยไหม? คำตอบก็คือไม่ใช่ เพราะความร่ำรวยที่แท้จริงในระดับนิพพาน ไม่อยู่ภายใต้การเกิดดับของอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าคุณไม่มีเงิน แล้วคุณก็ขาดความร่ำรวยไป แสดงว่าความร่ำรวยที่คุณมีอยู่นั้น “ไม่ใช่ความร่ำรวยที่แท้จริง” เข้าใจมั้ยครับ แปลว่าอะไร? แปลว่าคุณมีทุกอย่างได้ มีเหมือนไม่มีในระดับนิพพาน ไม่ใช่ให้ไปยึดว่าต้องละทุกอย่าง

สุดท้ายนี้ อย่าไปอุปทานเอาเองว่ามีธรรมในระดับนิพพานแล้วนะครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?