คริสตัลกับการหมดพาสชั่น
คนรุ่นใหม่จะ
“ออกหาพาสชั่นใหม่ๆ” เคยได้ยินไหมครับ? คำว่าพาสชั่นก็คือความต้องการนั่นแหละ ทว่า
ทำไมพวกเขาต้องออกหาความต้องการใหม่ๆ ในขณะที่คนรุ่นเก่าคิดว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด?
บทความนี้จะขออธิบาย “สภาวะหมดพาสชั่นที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า
พวกคริสตัล” ดังต่อไปนี้ครับ
๑ รู้จักพวกคริสตัลกันเถอะ
ในบทความก่อนๆ
ได้เคยอธิบายแล้วว่าจักรวาลสร้างมนุษย์ในแต่ละรุ่นมาต่างกัน เจนเนอเรชั่นเอ็กซ์กับวายก็ไม่เหมือนกัน
ในเจนเนอเรชั่นวายที่เป็นวัยรุ่นอยู่ขณะนี้แตกต่างกันไปอีก เรียกว่า อินดิโก้,
คริสตัล, เรนโบว์ คืออะไร? อินดิโก้คือพวกต่างดาว
พวกนี้จะหลุดโลกไม่ค่อยสนใจโลกและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องมีใครสอน,
พวกคริสตัลคือพวกที่มาจากมิติสูงๆ จิตใจจะใสเหมือนแก้ว
มีกิเลสน้อยหมดความต้องการอะไรในโลกได้ง่าย,
พวกเรนโบว์คือพวกที่มีกายแสงสว่างเหมือนรุ้ง พวกเขาจะนิยมความหลากหลายเหมือนสีรุ้ง
ในบทความนี้จะโฟกัสที่ “กลุ่มเด็กคริสตัล” ที่มีจิตใจใสซื่อ
ใสมากเหมือนแก้วและหมดกิเลสได้ง่ายมากครับ
๒ ภาวะการหมด
“พาสชั่น”
คนรุ่นก่อนจะไม่เป็นและไม่เข้าใจ
แต่คนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นวายจะเป็นกัน คือ
ภาวะที่หมดอาลัยตายอยากกับอะไรในโลกนี้ละ ไม่อยากได้อะไรอีกละ และ
“พร้อมจากโลกนี้ไปได้ง่ายๆ” เด็กบางคนอาศัยเกมเพื่อให้มีอะไรผูกมัดจิตตนเองไว้
พอไม่ได้เล่นเกมไปฆ่าตัวตายเลยก็มี เพราะอะไร เพราะเขาไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว
จิตของเขาเบื่อหน่ายโลกนี้มาก ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าหลงใหล อาศัยเกมให้ติดอยู่ไปวันๆ
พอไม่ได้เกมแล้วเขาก็ไปฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากอยู่
ไม่มีอะไรที่เขาอยากได้ในโลกนี้อีกแล้วก็มี นี่คือ “ภาวะหมดพาสชั่น” ที่มีในคนรุ่นใหม่
คนรุ่นเก่าไม่เข้าใจ จะวนอยู่ในความคิดว่า “กิเลสต้องกำจัด” ก็จะปฏิฆะสู้กับกิเลสอยู่ร่ำไป
๓ การปฏิฆะกับกิเลส
คนรุ่นก่อนๆ
จะชอบทะเลาะเบาะแว้ง แม้แต่ในชุมชนธรรมะ แค่พูดธรรมะกันนิดหน่อยก็เถียงเอาชนะกันซะยกใหญ่
ไม่จบไม่สิ้น เพราะพวกเขา “ติดอยู่ในปฏิฆะ” พวกเขาคิดว่ากิเลสต้องกำจัดก็ปฏิฆะกับกิเลสจนชิน
นานวันเข้ากลายเป็น “นิสัย” ติดตัวโดยไม่รู้ตัว คือ นิสัยชอบปฏิฆะกับอะไรไม่จบไม่สิ้น
พูดคุยธรรมะกับใครก็ปฏิฆะกับคนนั้น ดังที่เราเห็นในชุมชนธรรมะ จะมีพวกนี้เยอะ ปากพล่ามธรรมะ
แล้วเอาชนะคะคานกันไปวันๆ พวกนี้ “จิตไม่ผ่าน” นะ เด็กรุ่นใหม่ๆ จิตใจจะใสซื่อ
ใสมากเหมือนแก้ว พวกเขาหมดกิเลสเองดับไปเองตามธรรมชาติ ดังที่กล่าวว่า
“หมดพาสชั่น” จนต้องออกไปค้นหาพาสชั่นใหม่ๆ กันเหมือนในโฆษณาไงครับ
๔ กิเลสเป็นอนิจจัง
อนัตตา
ธรรมทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน
เพียงอาศัยการปรุงประกอบกันมาชั่วคราวเท่านั้น ที่เรียกว่า “ธาตุขันธ์มาประชุมกัน”
เมื่อสิ้นวาระก็ต่างไปคนละทาง คือ แตกดับไป เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้
ยั่งยืน ไม่มีอะไรเป็นตัวตนของตนอย่างแท้จริง แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย
ทุกอย่างว่างเปล่านะครับ ต้องเข้าใจหลักอิทัปปัจจยตาด้วยว่ามีเหตุปัจจัยปรุงประกอบร่วมกันอย่างไร?
กิเลสก็เช่นกัน ไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของตนที่จะยึดมั่นได้ หลายท่านไม่เข้าใจก็คิดว่ากิเลสเที่ยง
ไม่อนิจจังจะต้องมี “ตัวเราไปดับมัน” พอทักบอกเข้าก็แก้ต่างว่าฉันไม่มีตัวฉันไปดับ
ทั้งที่ตนก็นั่งทะเลาะกับกิเลสจนลามไปทะเลาะกับคนอื่นแท้ๆ
๕ จิตนี้ประภัสสร
มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราว
คือคำสอนในพระไตรปิฏกครับ
เพื่อแสดงให้เห็นว่ากิเลสนั้นไม่ใช่ “ตัวกูของกู” มันเป็นแค่ “อาคันตุกะมาจร”
เท่านั้นเอง คือ ไม่เที่ยง ผ่านมาแล้วผ่านไป อาจอยู่นานหน่อยหรือไม่นานก็แล้วแต่
สุดท้าย อนิจจัง อนัตตา เกิดแล้วตั้งอยู่, ดับไป เช่นนั้นเอง ไม่จำเป็นต้องมี
“ตัวตนเราไปดับตัวตนกิเลส” อะไรทั้งนั้น หลายคนคิดผิดว่ากิเลสนั้นต้องดับ
พอบอกว่ากิเลสไม่เที่ยง ก็เถียงๆๆ ใช้คำยอกย้อนไปมา หวังเพื่อเอาชนะเราเท่านั้นเอง
นี่ จิตของเขายังวนอยู่ใน “การปฏิฆะ”
แต่ใช้วาจากล่าวธรรมะขั้นสูงเพื่อเอาชนะคะคานคนอื่นไปวันๆ เท่านั้น
จิตไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย ยังวนอยู่ในพฤติจิตเดิมๆ คือ “ปฏิฆะ” เพราะติดชินกับการปฏิฆะกับกิเลสนั่นเอง
คนรุ่นใหม่
จิตเขาจะสูงหมดพาสชั่นเร็ว เห็นกิเลสดับเร็วครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น