ชีวิตและความตายในมิติที่ห้า




ความหมายของ “ชีวิตและความตาย” หลายท่านอาจได้รับรู้มาในระดับมิติที่สามกันบ้างแล้ว ในบทความนี้จะขอเสนอมุมมองของชีวิตและความตายในมุมมองของมิติที่ห้ากันบ้าง เพราะมีความแตกต่างกันและเราจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันครับ ผู้เขียนขอเรียบเรียงจากประสบการณ์ตนเอง ดังต่อไปนี้

๑ ชีวิตและความตายในมิติที่สาม
หลายท่านถูก “สังคมหล่อหลอมมาให้เชื่อ” ว่าชีวิตคือตัวตนของเราที่ยังหายใจอยู่นี้ และความตายคือสิ่งที่ทำลายชีวิตเราลง ทำให้กายนี้ ตัวตนนี้แตกดับไป ใช่ไหมครับ ทว่า นั่นคือ สิ่งที่เราถูกสอนมาให้รับรู้ว่าเป็นเช่นนั้น “ในระดับมิติที่สาม” เท่านั้นเองครับ หมายความว่าอะไร? หมายความว่าในระดับมิติที่สี่และห้านั้น มีเรื่องราวของชีวิตและความตายที่แตกต่างไปจากมิติที่สามนั่นเอง สิ่งที่เราถูกสอนให้เชื่อมาโดยตลอดนั้น ในมิติที่สามจะถือเอา “ตัวตนที่สัมผัสจับต้องได้” นี้คือ “รูปธรรมของชีวิต” แต่เราจะไม่รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีตัวตนที่สัมผัสจับต้องได้ละ มีอยู่ไหม? จริงมั้ยครับ ดังนั้น ความรู้ในเรื่องชีวิตและความตายของเราจึเป็นเช่นนั้น

๒ ความตายในมิติที่ห้า
ความตายในมิติที่สามนั้นนับจาก “ตัวตนที่สัมผัสและมองเห็นได้” เป็นสำคัญ หากตัวตนเชิงกายภาพนี้ตายลงก็คือ “ความตาย” ทว่า ในมิติที่ห้าความตายกลับมีนิยามที่แตกต่างออกไปครับ กล่าวคือ ในมิติที่ห้านั้นมีสภาวะแบบ “อนัตตา” ตัวตนเชิงสังขารนั้นมิใช่ตัวตนของตน ดังนั้น การแตกดับของตัวตนเชิงสังขารย่อมไม่เกี่ยวกับความตายของชีวิต ไม่ใช่การสิ้นชีวิตแต่อย่างใด เพราะความมีชีวิตในมิติที่ห้านั้น ไม่ได้นับจากร่างสังขารนั้นๆ นั่นเอง กล่าวได้ว่าในระดับมิติที่ห้านี้ “ความตายไม่มีอยู่จริง” เพราะตัวตนเชิงสังขารมิใช่อัตตา อันแท้จริง และนิยามของชีวิตก็ไม่เหมือนในมิติที่สาม ไม่ใช่ชีวิตที่เราเข้าใจว่าเป็นตัวตนเชิงสังขารนี้แน่นอน

๓ ชีวิตในมิติที่ห้า
ชีวิตในมิติที่สามนั้นนับจากการมีตัวตนเชิงสังขารที่ยังหายใจได้เป็นสำคัญ ทว่า ชีวิตในมิติที่ห้านั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในมิติที่ห้านั้น “ชีวิตไม่ใช่ตัวตนเชิงสังขาร” ที่เรามองเห็นได้ จับต้องได้นี้ แต่ชีวิตนั้นมีความหมายที่กว้างกว่านั้นมาก เมื่อเราเข้าใจภาวะอนัตตาแล้ว เราจะเข้าใจว่าชีวิตไม่ได้ถูกกรอบกำหนดไปด้วยตัวตนเชิงสังขารนี้ การแตกดับของตัวตนเชิงสังขารนี้มิใช่สาระ ชีวิตยังคงมีก่อนมีตัวตนเชิงสังขารนี้และยังมีต่อไปหลังตัวตนเชิงสังขารนี้แตกดับลง ชาวอียิปเชื่อเรื่อง “ชีวิตหลังความตาย” ชาวคริสต์ก็กล่าวว่าชีวิตอมตะมีอยู่จริง ส่วนชาวพุทธนั้นก็ต้องว่าตามคำสอนของพระสมณโคดมที่ว่านิพพานไม่เกี่ยวกับความตาย

๔ ชีวิตหลังความตายในมิติที่ห้า
คำถามต่อไปคือ หากมีชีวิตหลังความตายจริง ในระดับมิติที่ห้าเราจะมีมุมมองต่อชีวิตอย่างไร? อุปมาได้กับการเล่นละคร สวมหัวโขนครับ ชีวิตคือละคร เรามาสวมหัวโขนเล่นเป็นมนุษย์ในโลกนี้ เมื่อหมดหน้าที่แล้วก็ถอดหัวโขนนั้นออกชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป เราอาจจะต้องไปสวมหัวโขนเล่นบทละครอื่นอีกก็ได้ ชีวิตหลังความตายในมุมมองของมิติที่ห้า จึเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการเกิดและตาย ไม่เกี่ยวกับการเกิดและตายเป็นธรรมระดับเดียวกับนิพพานของพุทธนั่นเอง ในพุทธนั้นหากคุณตายจากกายนี้แล้วไปเกิดเป็นเทวดา เขาจะทำให้คุณสวมหัวโขนใหม่เล่นเป็นเทวดา กระบวนการหลังความตายไม่ต่างอะไรกับโรงลิเกที่ต้องกระทำมากมาย

๕ ชีวิตก่อนการเกิดในมิติที่ห้า
คำถามต่อไปคือ เมื่อมีชีวิตหลังความตายแล้ว “มีชีวิตก่อนการกำเนิดอีกหรือไม่?” คำตอบคือ “มีครับ” ในพุทธศาสนาสอนว่ามีอดีตชาติและอนาคตชาติ เรียกว่า “สามกาล” ไม่ได้มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น ทั้งยังมีความเชื่อว่าเราทั้งหลายล้วนมาจากพุทธะ ก่อนที่จะลงมาเกิดเวียนว่ายหลายชาติภพ จากนั้นก็จะกลับคืนสู่พุทธะในท้ายที่สุด ชีวิตในอดีตชาติของแต่ละคนย่อมมีอยู่ เหมือนเหตุย่อมมีก่อนผล ก่อนที่จะเกิดผลเป็นปัจจุบันได้ เราทั้งหลายล้วน “มีเหตุและสร้างเหตุ” มาก่อนทั้งสิ้น และเหตุเหล่านั้นเองส่งผลให้เป็นเราอย่างที่เป็นในปัจจุบันนี้ครับ ในระดับมิติที่ห้านี้ มองผ่านขีดจำกัดของตัวตนและกาลเวลาทั้งหมดแล้ว ย่อมเห็นโดยตลอด

ชีวิตย่อมเป็นธรรมเช่นดั่งนิพพาน ไม่เกี่ยวกับการเกิดและตายเลย!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนจะแก้อย่างไร?

ผู้มีปัญญาแท้ไม่อ้างหลักธรรม

วิชามารคืออะไร?