จุติจิตและการเคลื่อนสู่ภพภูมิใหม่
หลายท่านยังไม่เข้าใจเรื่องจุติจิตและปฏิสนธิจิตแม้พยายามอธิบายหลายครั้งแต่เพราะทิฐิดื้อรั้นมากเกินไปทำให้ไม่เข้าใจก็มี
ทว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงที่เราตายลง
หากเราไม่เข้าใจการเตรียมตัวพร้อมตายก็จะมีปัญหาได้ เช่น
การหลงคิดว่าตายแล้วว่างเปล่าหายสูญ ในบทความนี้จะขออธิบายเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
๑ จุติจิตกับปฏิสนธิจิต
อย่างแรกมาทำความเข้าใจเรื่องนี้เป็นพื้นฐานก่อนครับ
เวลาคนเราตายนั้น ขันธ์ห้าจะแตกดับ ส่วนขันธ์ห้านี้ เราเอาไปด้วยไม่ได้
ทีนี้จะเหลือแต่ “จิต” ที่จะเคลื่อนออกจากภพภูมิเก่า, ขันธ์ห้าเก่า ขณะเคลื่อนออกนี้
จะเร็วมาก ความเร็วของจิตเหนือแสงทีเดียว มีขณะจิตเดียวเรียกว่า “จุติจิต”
พริบตาเราก็ตายจากคนเดิม ตายจากขันธ์เดิมแล้ว
จากนั้นจะปฏิสนธิใหม่ในภพภูมิใหม่ทันที นั่นคือ เกิดใหม่ทันที เรียกว่า
“ปฏิสนธิจิต” พอเข้าใจนะครับ ทีนี้ มันมีสองแบบ แบบแรกคือ ปฏิสนธิใกล้ๆ ร่างที่ตาย
แบบนี้จะต้องมีเทวทูตหรือยมทูตมารับตัวไปสู่ภพภูมิใหม่
แบบที่สองปฏิสนธิในภพภูมิใหม่เลย เช่น ไปเกิดบนสวรรค์เลย ไม่ต้องมีใครมารับ
๒ แบบจุติไปบนสวรรค์เลย
ก็เหมือนเทพเทวดาบางองค์ที่อยู่ๆ
เกิดในดอกบัวบ้าง เกิดบนบัลลังก์บ้าง ฯลฯ เทพเหล่านี้ไม่ต้องมีใครไปรับ อยู่ๆ
ก็จุติมาเกิดเลย มาเร็วมาก พริบตาเดียว เมื่อตายจากชาติภพเก่าแล้วมาเกิดทันที
ไม่ต้องมีเทวทูตไปรับตัวครับ กล่าวคือ เมื่อตายจากชาติภพเก่า ขันธ์เก่านั้น
จิตจะเคลื่อนจรมาสู่ภพภมิใหม่ด้วยความเร็วเหนือแสง พริบตาเดียวคือฉับพลันนั้นเลยก็เกิดในภพภูมิใหม่
ตรงนี้เร็วมากจนเรามองไม่เห็นการเคลื่อนที่ของจิต
และเราไม่รู้ว่าจิตนี้เคลื่อนที่มาจากไหนด้วยซ้ำ แต่รู้เห็นกันอีกทีก็คือ
มีเทพมาเกิดบนสวรรค์ซะแล้ว พอเห็นภาพง่ายๆ นะครับ ผู้ที่จะเกิดแบบนี้ได้ต้องมี
“จิตตรงและแน่วแน่” มาก และไม่อาลัยในชาติภพเก่า
๓ แบบที่มีเทวทูตมารับตัว
แบบนี้
จิตจะเคลื่อนออกมาอยู่ใกล้ๆ ร่างที่ตายก่อน แล้วปฏิสนธิอยู่ใกล้ๆ ร่างเก่านั้น
เราจะเห็นจิตวิญญาณของเขาอยู่ใกล้ๆ ร่างในช่วงที่ตายแรกๆ
จากนั้นจะมีผู้มารับตัวไปครับ ปกติจะเป็นเทวทูตไม่ก็ยมทูต จากนั้น
เขาจะพาไปผ่านขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ลืมเรื่องเก่าๆ
เพื่อที่จะอยู่ในชาติภพใหม่ได้ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์เช่นให้ดื่มน้ำชาลืมชาติ
เหมือนต้อนเรารับด้วยน้ำชาน่ะละ เพราะอะไร? เพราะเรายังดับขันธ์ห้าไม่สนิท
หากว่าเราทำ “ขันธปรินิพพาน” ได้สนิท คือ ดับขันธ์ห้าได้สนิทโดยรอบ
จิตจุติออกมาก็ไม่อาลัยในชาติภพเก่าแล้ว จะไม่ต้องผ่านกระบวนการนี้
จะจุติไปยังภพภูมิใหม่ทันทีเลย ไม่ต้องมีเทวทูตมารับ จะลืมเรื่องเก่าหมดสิ้นครับ
๔ การแย่งชิงจิตวิญญาณ
ปัจจุบันมีการแย่งชิงจิตวิญญาณกัน
เทวทูตและยมทูตเก็บจิตวิญญาณได้น้อยกว่าก่อนมาก เพราะอะไร? เพราะมี “พวกอื่น” มาแย่งชิงครับ
ถามว่าแย่งไปทำไม? ก็เพื่อเอาไปเสริมกำลังทัพบ้าง, ไปเป็นบริวารเขาบ้าง,
ไปเป็นทาสรับใช้บ้าง ฯลฯ ดังนั้น อย่าคิดว่าตายแล้วจะเข้าสู่ระบบสามภพปกติได้
ตอนยังอยู่อาจทำอะไรก็ได้ อิสระเสรี แต่พอตายแล้ว “ชีวิตบัดซบ” ครับ บอกเลย
เพราะในอีกมิติ มีผู้ล่าอยู่มากมาย
เหล่าผู้ล่าจะมาหลอกเอาจิตวิญญาณของเราไปเป็นทาสเสียส่วนมาก วันๆ
ต้องทำงานให้เขาไม่ได้หยุด ไม่ได้ทำอะไรอื่นเลย และพวกเขาจะมา “จองตัวเราก่อนตาย”
เหมือนคนที่มีองค์ นั่นก็ถูกจองตัวไว้ก่อนตายครับ
๕ การจองตัวไว้ก่อนตาย
ดังที่กล่าวแล้วว่ามี
“ผู้ล่า” มาเอาจิตวิญญาณของเราตอนตายได้ เช่น ถ้าเรามีศรัทธาไม่แน่วแน่
เราชอบคนไปทั่ว เราเชื่อใครไปทั่ว
เหล่าผู้ล่าก็จะแปลงกายมาเป็นคนที่เราเชื่อถือนั้น เช่น หลวงพ่อ, หลวงปู่
เขาให้พวกเขาแปลงกายมารับเราได้ตามที่ใจเราเชื่อ ดังนั้น ก่อนตายจะต้องมีการ
“จองตัว” กันไว้ก่อน บางคนถูกเทพจองตัวเรียกว่าคนมีองค์,
บางคนถูกมนุษย์ต่างดาวจองตัว, บางคนถูกซาตานจองตัว, บางคนถูกปีศาจจองตัว ฯลฯ
เราสามารถตรวจเช็คได้ว่าเราตายแล้วจะไปภพภูมิไหน?
ก็ด้วยการดูว่าใครมาจองตัวเรานี่หละครับ ดังนั้น หากมีเทพมาจองตัวเราก็ดีใจเถอะว่ายังมีคนเอาเรา
แต่อย่าหลงเหลิงตัวว่าเป็นเทพอะไรแค่นั้นครับ
ตายจากชาติภพมนุษย์นี้แล้ว
ชีวิตไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดแล้วละครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น